เรียกได้ว่าเป็นการอัพเดตครั้งใหญ่ในตลาดยุโรปสำหรับผลิตภัณฑ์เอสยูวีขนาดใหญ่ที่สุดของ Toyota กับโมเดล Highlander รุ่นปี 2023 ที่มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ชุดเดิม แต่จะมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม
[adsforwp id=”1302″]
เดิมที่ Toyota เปิดตัว Highlander รุ่นล่าสุดในตลาดยุโรปเมื่อราวๆปี 2020 ด้วยการนำเสนอเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้งานต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจากทางผู้ผลิต ซึ่งโมเดลใหม่ของปี 2023 นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปใช้งานเครื่องยนต์สี่ลูกสูบเรียงขนาด 2.4 ลิตรพ่วงมากับเทอร์โบชาร์จ ที่จะให้กำลังสูงสุด 269 แรงม้า (HP) มากกว่าเครื่องยนต์ชุดเดิม 4 แรงม้า (HP) แต่จะมีแรงบิดสูงสุด 419 นิวตันเมตร ซึ่งจะน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย โดยทางผู้ผลิตได้กล่าวไว้ว่า “การตอบสนองการเร่งความเร็วและการส่งแรงบิดสูง”
สเปกนี้จะเป็นสเปกหลักในการทำตลาดในโซนยุโรปตะวันออก ในทางกลับกันทางฝั่งตะวันตกของยุโรป จะได้รับเครื่องยนต์อีกสเปก โดยจะเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ลิตร พ่วงมากับมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า 48v 2 ตัว โดยจะมีกำลังสูงสุด 248 แรงม้า (HP) โดยจะมีค่า Co2 ที่ 146 g/km โดยทางผู้ผลิตได้กล่าวว่าตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงความสมดุลระหว่างกำลังขับต่อ CO2 ที่ดีที่สุดในผลิตภัณฑ์ Segment นี้
[adsforwp id=”1302″]
อีกหนึ่งส่วนที่มีความสำคัญในการอัพเดตโมเดลใหม่ คือการปรับระบบ Infotainment System ใหม่ โดยได้เพิ่มหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วใหม่ และมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่อย่างระบบนำทางด้วยของมูลจากคลาวด์พร้อมข้อมูลการจารจรในช่วงเวลาแบบ Real Time ระบบการอัพเดตซอฟแวร์แบบ Over-The-Air ระบบ 3D city mapping ระบบ fixed speed camera location information และอื่นๆ โดยมีคุณสมบัติการใช้งานที่สามารถปรับแต่งได้ถึง 4 รูปแบบ
ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานในห้องโดยสารนั้น ทุกเกรดของ 2023 Toyota Highlander ในตลาดยุโรป จะมาพร้อมกับแท่นชาร์จอุปกรณ์ไร้สาย Apple CarPlay เป็นแบบไร้สายในขณะที่การเชื่อมต่อ Android Auto สามารถทำได้ผ่านสายเคเบิล พร้อมกับระบบกุญแจอัจฉริยะ ที่สามารถปลดล็อก สตาร์ทเครื่องยนต์ และเปิดไฟฉุกเฉินจากระยะไกลได้ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้งหมด
Toyota เปิดให้ทำการสั่งจอง Highlander แล้วบางประเทศในยุโรป โดยมีการคาดเดาว่าผู้ผลิตจะสามารถส่งตัวรถให้กับผู้ที่สั่งจองล่วงหน้าได้ภายในไตรมาสที่สี่ก่อนสิ้นปี 2022 นี้ ในส่วนตลาดภูมิภาคอื่นๆ คงต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากผู้ผลิตกันต่อไป และแน่นอนว่าประเทศไทยนั้น ไม่มีแผนในการนำโมเดลนี้เข้ามาทำการตลาดอย่างแน่นอน
Credit : www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]