หลังจากหายหน้าหายตาไปนาน สำหรับ Toyota Venza ก็ได้กฤษ์กลับมาทำตลาดในยุโรปอีกครั้ง นับจากปี 2021 ที่ผ่าน ด้วยบทบาทใหม่ของรถยนต์แนวทาง CUV (Crossover Utility Vehicle) ที่เน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก และล่าสุดก็มีรุ่นพิเศษออกมาตีตลาด ที่เน้นความเรียบง่ายแต่หรูหรา และสร้างภาพลักษณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้ที่ครอบครอง
[adsforwp id=”1302″]
2023 Toyota Venza “Nightshade Edition” เป็นการนำเอาเกรด XLE จากรุ่นก่อนมาทำการปรับโฉมใหม่ โดยเพิ่มองค์ประกอบภายนอกแบบแบล็คเอาท์ ซึ่งมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส Toyota Audio Multimedia ขนาด 12.3 นิ้ว พอร์ต USB C สองพอร์ต เครื่องชาร์จ Qi รุ่นที่สี่ของ Qi ระบบช่วยจอดรถด้านหน้าและด้านหลังพร้อมระบบเบรกอัตโนมัติ ระบบหน้าจอข้อมูลแบบ multi information display (MID) ขนาด 7 นิ้ว ระบบกุญแจอัจฉริยะ
ตัวรถจะมาพร้อมกับคุณสมบัติ Toyota Safety Sense 2.5 พร้อม Dynamic Radar Cruise Control, ไฟสูงอัตโนมัติ Nightshade Edition เพิ่มสีภายนอกระดับพรีเมียมสามสี ได้แก่ Celestial Black, Wind Chill Pearl และ Ruby Flare Red Wind Chill Pearl โดยสีของตัวรถนั้นจะถูกเน้นด้วยขอบสีดำทั้งภายในและภายนอกชิ้นส่วนตกแต่งโครเมียมภายนอกทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนสีดำ รวมถึงกระจังหน้าอะคริลิก, ฝาครอบกระจกมองข้าง, ที่จับประตู, เสาอากาศครีบฉลามส่วนล่างของกันชนหน้าและหลังเป็นโครเมียมสีรมควัน ขณะที่ล้อมาตรฐานแบบอัลลอยด์หลายก้าน ขนาด 19 นิ้ว และตัวเลือกหลังคากระจกพาโนราม่า Star Gaze ที่เสริมเข้ามาสำหรับรุ่นนี้
[adsforwp id=”1302″]
ภายในห้องโดยสารจะพบการตกแต่ง ที่ยกมาจากเกรด XLE โดยจะได้รับเบาะนั่งคนขับที่สามารถปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง และตัวเลือกสำหรับเบาะนั่งคู่หน้าที่ติดตั้งระบบทำความร้อนและระบายอากาศได้เพื่อความสะดวกสบายที่มากขึ้น มีระบบปรับอากาศ S-Flow ระบบนี้ส่งลมเย็นไปยังที่นั่งที่มีคนนั่งเท่านั้นเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่นเดียวกับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลส่วนกลางขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมระบบเสียงมาตฐาน 8 ลำโพงและตัวเลือกระบบเสียง JBL Premium Audio System 9 ลำโพง ที่เพิ่มลำโพง Sub-Woofer ที่ด้านหลังและ แอมพลิฟายเออร์ 12 ช่องสัญญาณ 1,200W
ในขณะที่ขุมกำลัง 2023 Toyota Venza “Nightshade Edition” จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ ขนาด 2.5 ลิตร 4 ลูกสูบเรียง Hybrid ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในเมือง 37 MPG และบนทางหลวง 40 MPG ระบบขับเคลื่อนหลักจะเป็นแบบ FWD ที่ได้จากกำลังของเครื่องยนต์และตัวช่วยมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าที่ล้อหลัง โดยแบ่งสัดส่วนเป็น 80:20 ทำให้สามารถเร่งความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยมจากการหยุดนิ่ง และยังช่วยให้เข้าโค้งได้คล่องตัว
ยังไม่มีการเปิดเผยราคาและวันจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าทาง Toyota จะมีการประกาศราคาจำหน่ายในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
Credit : www.motortrend.com
[adsforwp id=”1302″]