เผยข้อมูลอย่างเป็นทางการสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่จาก Toyota กับเจ้า Full Size SUV อย่าง 2023 Toyota Sequoia ที่มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ i-Force Max ที่มาพร้อมกับระบบไฮบริด ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัว และยังเป็นตัวช่วยในการลดการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีมัยยะสำคัญ
[adsforwp id=”1302″]
ข้อมูลใหม่ที่เราได้มานั้น พบว่า 2023 Toyota Sequoia จะมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากรุ่นปัจจุบันที่ติดตั้ง ขุมกำลัง V8 ขนาด 5.7 ลิตร โดยจะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ดีเซล i-Force Max V6 เทอร์โบคู่ขนาด 3.4 ลิตร ซึ่งจะให้กำลังสูงสุด 437 แรงม้า (HP) พร้อมกับแรงบิด 583 Ib-Ft ที่จะมาทันทีใน 2,400 รอบต่อนาที พร้อมกับมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าขนาด 48v ที่ช่วยให้ตัวรถนั้นมีประสิทธิภาพในการออกตัวที่ดีกว่ารุ่นปัจจุบัน
ไม่เพียงแต่การออกตัวจะดีกว่า อัตราสิ้นเลืองเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์รุ่นใหม่ก็ดีกว่า โดยเครื่องยนต์เดิม V8 ขนาด 5.7 ลิตร นั้นจะมีอัตราสิ้นเปลือง 13 MPG ในเมือง 17 MPG บนทางหลวง และ 15 MPG แบบรวม ซึ่งจะแตกต่างจากเครื่องยนต์ I-Froce Max V6 เทอร์โบคู่ขนาด 3.4 ลิตร ที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 21 MPG ในเมือง 24 MPG บนทางหลวง และ 22 MPG แบบรวม ซึ่งจะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงไปได้เป็นอย่างมาก
[adsforwp id=”1302″]
ในทางกลับกันรุ่นพิเศษสำหรับสายลุยอย่าง Sequoia TRD Pro ที่เน้นการใช้งานในรูปแบบ Off-Road นั้นจะมีการตั้งค่าที่สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่มากกว่า ด้วยอัตราสิ้นเปลือง 19 MPG ในเมือง 22 MPG บนทางหลวง และ 20 MPG แบบรวม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ต่อให้ปรับให้ใช้เชื้อเพลิงที่มากขึ้นจากรุ่นมาตรฐาน แต่ก็มีอัตราสิ้นเปลืองที่ยอดเยี่ยมกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน
ข้อมูลที่น่าสนใจอีกอย่างของ 2023 Toyota Sequoia คือการเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่ โดยรุ่นใหม่จะใช้งานแพลตฟอร์ม TNGA-F ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเฉพาะของรถ SUV แบบ Body on Frame ที่เข้ากันได้ดีกับการติดตั้งเครื่องยนต์ไฮบริดแบบ i-Force Max และระบบขับเคลื่อนแบบ AWD รวมไปถึงการใช้งานเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ซึ่งจะเป็นชุดเกียร์ใหม่แทนที่ชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดของรุ่นปัจจุบัน โดยแพลตฟอร์มนี้จะใช้งานร่วมกับ Tundra, Land Cruiser, Lexus LX รวมไปถึงจะเป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับ Tacoma เจนเนอเรชั่นต่อไปอีกด้วย
รายละเอียดยังเปิดเผยมาไม่หมด โดยคาดว่าทางผู้ผลิตจะมีการเปิดตัว 2023 Toyota Sequoia รุ่นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ และแน่นอนว่า โมเดลนี้จะเป็นโมเดลเรือธงในการทำตลาดในอเมริกาเหนือเป็นหลัก ส่วนบ้านเราก็คงต้องพึ่งพาผู้นำเข้าอิสระกันเหมือนเดิม
Credit : www.motortrend.com
[adsforwp id=”1302″]