ประกาศอย่างเป็นทางการ สำหรับการมาถึงของ Mazda 3 รุ่นปี 2024 สำหรับตลาดอเมริกา โดยการอัพเกรดใหม่ในครั้งนี้ จะมาพร้อมกับการตกแต่งใหม่ และการปรับราคาที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า
[adsforwp id=”1302″]
สำหรับการทำตลาดในอเมริกานั้น Mazda 3 รุ่นปี 2024 จะยังคงเริ่มต้นด้วยเกรดS แต่ในปีนี้จะมีจำหน่ายเฉพาะในรุ่นซีดานเท่านั้น รุ่นแฮชแบคถูกตัดออกไป คุณสมบัติมาตรฐานที่เพิ่มขึ้น จะมีการติดตั้งระบบ blind-spot monitoring และ rear cross-traffic alert with rear door alert ขุมกำลังยังคงใช้งานเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ที่ให้กำลัง 191 แรงม้า (hp) และแรงบิด 186 Ib-Ft
[adsforwp id=”1302″]
ในรุ่นที่ขยับขึ้นมา Select Sport เป็นการตกแต่งใหม่ที่แทนที่เกรด Select ของปีที่แล้ว มีให้เลือกทั้งแบบซีดานและแฮทช์แบค เพิ่มระบบ Keyless ระบบควบคุมสภาพอากาศแบบ dual-zone ที่เท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ และไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง เบาะเป็นหนังเทียมสีดำ
รุ่น Preferred จะเพิ่มมูนรูฟไฟฟ้า เบาะนั่งคู่หน้าแบบปรับความร้อนได้ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ห้องโดยสารมีให้เลือกในหนังเทียมสีดำหรือสีเทา
เกรด Carbon Edition มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน AWD เท่านั้น ภายในห้องโดยสารจะพบกับ เบาะนั่งหนังสีแดง ระบบ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto นอกจากนี้ยังมีที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Qi เกรดนี้มีเฉพาะสี Polymetal Grey
ในเกรด Premium มีเฉพาะในเกียร์ธรรมดา 6 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและตัวถังแฮทช์แบคเท่านั้น ตัวรถจะได้รับการอัพเกรดเครื่องเสียง Bose 12 ลำโพง ระบบหน้าจอแสดงผล Head-Up Display ระบบนำทาง และระบบไฟหน้าแบบ adaptive led ห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี ประกอบด้วยสีดำและสีแดง
เกรด Carbon Turbo จะเข้ามาแทนที่เกรด Turbo ซึ่งจะมาพร้อมกับขุมกำลังเบนซินเทอร์โบ 2.5 ลิตร 250 แรงม้า (hp) 320 Ib-Ft และมีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบ AWD เท่านั้น ภายนอก ตัวถังสี Zircon Sand Metallic พร้อมกระจกมองข้างสีดำเงา ห้องโดยสารมีการผสมผสานระหว่างหนังเทียมสีดำเดินลายด้วยด้ายสีแดง หน้าจออินโฟเทนเมนต์จะอัพขนาดจาก 8.8 นิ้วเป็น 10.25 นิ้ว ซึ่งใหญ่ที่สุดจากทุกเกรดที่อัพเดทในปีนี้
ปิดท้ายด้วยเกรด Turbo Premium Plus ยังคงเป็นรุ่นท๊อปของซีรี่ส์ โดยรุ่นซีดานจะมีการติดตั้งสปอยเลอร์หลังส่วนรถแฮทช์แบคมีสปอยเลอร์บนหลังคาและแดมป์อากาศด้านหน้า คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้าจะมีระบบ Rear Direction Base Safety ซึ่งรวมถึงระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง ระบบ traffic jam assist ระบบ360-degree camera system ระบบ traffic sign recognition และระบบ auto-dimming rearview mirror
ในส่วนของราคาใหม่นั้น เกรด S จะเริ่มจำหน่ายด้วยราคา 25,855 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 896,780 บาท ซึ่งจะสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 1,720 ดอลล่าร์ คิดเป็นเงินไทยจะตกที่ 59,659 บาท ในขณะที่เกรดสูงสุด Turbo Premium Plus มีราคาจำหน่ายที่ 36,615 ดอลล่าร์ หรือราวๆ 1.269 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า 1,550 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 53,735 บาท
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]