ถือว่าเป็นการอัพเดทที่น่าสนใจมากในตลาดอเมริกาเหนือ สำหรับ Mazda CX-50 ที่ถึงแม้ว่าตัวรถจะเข้าสู่ปีที่สองของการวางจำหน่ายเท่านั้น แต่ทางผู้ผลิตก็เริ่มมีการอัพเดทคุณสมบัติบางอย่างเต็มประสิทธิภาพในการทำงานของตัวรถให้สูงขึ้น
[adsforwp id=”1302″]
สำหรับ Mazda CX-50 นั้นเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องของ CX-5 ที่ใช้ทำตลาดที่สูงขึ้น โดยเวอร์ชั่นสำหรับปี 2024 ในตลาดอเมริกาเหนือนั้น จะมีการอัพเดทระบบกันสะเทือน รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานหรืออุปกรณ์เสริมใหม่ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และแน่นอนว่า การอัพเดทใหม่นี้ จะมาพร้อมกับมูลค่าของตัวรถที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
[adsforwp id=”1302″]
โดยตลาดอเมริกาเหนือนั้น Mazda CX-50 เวอร์ชั่น 2024 จะมีการอัพเกรดช่วงล่างใหม่ โดยการติดตั้งแดมเปอร์ใหม่เพื่อให้สามารถรองรับการสั่นสะเทือนที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับระบบช่วยส่งกำลังไฟฟ้าที่ปรับเทียบใหม่ ซึ่งจะติดตั้งในรถยนต์ทุกคันที่ผลิตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีนี้ มีการเสนอระดับการตัดแต่งทั้งหมดแปดระดับสำหรับ SUV ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่โดยมีรุ่น 2.5 S Select เป็นรุ่นเริ่มต้น
ในส่วนของระบบส่งกำลังนั้น จะมีตัวเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ ประกอบด้วย ขุมกำลัง 2.5 ลิตรแบบ NA ที่มีกำลัง 187 แรงม้า (hp) และแรงบิด 186 lb-ft และขุมกำลัง 2.5 ลิตรเทอร์โบ ที่มีกำลัง 256 แรงม้า (hp) และ 320 lb-ft ทุกรุ่นติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และระบบขับเคลื่อนทุกล้อ i-Activ ของ Mazda เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ในกลุ่มเครื่องยนต์ NA จะเริ่มต้นด้วยรุ่น 2.5 S Select นั้น จะยังคงอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบดูอัลโซน พวงมาลัยหุ้มหนังและคันเกียร์ ไฟ LED ภายในห้องโดยสาร และจอแสดงผลส่วนกลางขนาด 10.25 นิ้วพร้อม Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto ในขณะที่ตัวท๊อปของรุ่นเครื่องยนต์มาตรฐาน 2.5 S Premium Plus จะได้รับอุปกรณ์ใหม่อย่าง กระจกมองข้างและที่ปัดน้ำฝนแบบปรับความร้อนได้ และเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ในขณะที่รุ่นที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เทอร์โบ นั้นจะเริ่มต้นด้วยรุ่น 2.5 Turbo และตัวท๊อปที่มีราคาสูงสุดตือ 2.5 Turbo Premium Plus
ในส่วนของราคาจำหน่ายนั้น ในรุ่นเครื่องยนต์ NA จะมีราคาเริ่มต้นที่ 31,675 ดอลล่าร์หรือประมาณ 1.08 ล้านบาท และมีราคาสูงสุดในรุ่น 2.5 S Premium Plus ที่ราคา 38,875 ดอลล่าร์หรือประมาณ 1.32 ล้านบาท ในกลุ่มเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ จะเริ่มต้นด้วย 2.5 Turbo ราคา 39,375 ดอลล่าร์หรือประมาณ 1.34 ล้านบาท และไปสุดที่รุ่น 2.5 Turbo Premium Plus ที่ราคา 44,675 ดอลล่าร์หรือราวๆ 1.52 ล้านบาท โดยประมาณ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]