Toyota Prius และ Crown ได้เข้าไปทำตลาดในอเมริกา มาพักใหญ่ๆ แล้ว และล่าสุด ก็มีการอัพเดทโมเดลใหม่สำหรับปี 2024 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นปี 2023 อีกเล็กน้อยเช่นกัน
[adsforwp id=”1302″]
Toyota Prius 2024 ถือว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 ของตัวรถ ซึ่งโมเดลสำหรับปีหน้านั้น มีรายงานการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยที่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ จะเน้นไปที่การเพิ่มสีตัวถังใหม่ ซึ่งในปี 2024 จะเพิ่มต้วเลือกสี Guardian Grey, Midnight Black Metallic และ Reservoir Blue เป็นตัวเลือกมาตรฐาน เช่นเดียวกับสี Supersonic Red และ Wind Chill Pearl จะเป็นตัวเลือกสีเสริมใหม่ ที่ต้องเพิ่มเงินในการเลือกใช้งาน
[adsforwp id=”1302″]
โมเดลใหม่สำหรับปี 2024 จะมีให้เลือก 3 รุ่น โดยแต่ละระดับมีให้เลือกในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยที่ตัวรถแต่ละคันได้รับการติดตั้งชุดระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือ Safety Sense ของบริษัทเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในแต่ล่ะระดับ
ในส่วนของราคาจำหน่ายนั้น Toyota Prius 2024 รุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า จะมีราคาเริ่มต้นที่ 28,745 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1.041 ล้านบาท ซึ่งมีการปรับราคาขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 200 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 7,248 บาท ในขณะที่รุ่นที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อนั้น จะมีราคาเริ่มต้นที่ 30,145 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.092 ล้านบาท ในขณะที่รุ่นท็อปสุดอย่าง Limited AWD จะมีราคาจำหน่ายที่ 37,160 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1.346 ล้านบาทโดยประมาณ
ในส่วนของ Toyota Crown ก็ไม่ได้รับการอัพเดตมากมายเช่นกัน แต่ Toyota บอกว่าขณะนี้มีวัสดุคุณภาพสูงขึ้นที่ให้สัมผัสที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการเน้นการตกแต่งใหม่ ที่แบ่งออกเป็น 3 รุ่น ประกอบด้วย XLE, Limited และ Platinum การปรับแต่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นในราคาเริ่มต้นเนื่องจาก Crown XLE ปี 2024 ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐานเริ่มต้นที่ 41,145 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1.491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100 ดอลลาร์จากปีที่แล้ว (3,625 บาท) ในขณะที่รุ่นเรือธงอย่าง Crown Platinum จะมีราคาเริ่มต้นที่ 54,165 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1.963 ล้านบาท
Toyota ได้ประกาศว่า Prius โมเดลปี 2024 จะเริ่มจำหน่ายที่ตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ทั่วประเทศในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ส่วน Crown โมเดลปี 2024 ยังไม่มีการเปิดเผยการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะเริ่มต้นจำหน่ายได้ในเดือนธันวาคมปีนี้ และจะสามารถส่งมอบตัวรถล็อตแรกได้ก่อนเดือนมีนาคมปี 2024
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]