Toyota Sienna อาจจะเป็นรถยนต์มินิแวนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในประเทศไทย แต่ในทางกลับกัน มันมียอดขายที่ค่อนข้างดีสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีเจนเนอเรชั่นใหม่เมื่อกลางปี 2021 ที่ผ่านมา และโมเดลใหม่สำหรับปี 2025 จะเป็นโมเดลที่ปรับปรุงใหม่ ที่อาจจะเป็นโฮมสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
เพื่อพิสูจน์ว่าผู้ซื้อรถมินิแวนมีลักษณะการใช้งานที่ต่างออกไป การปรับโฉมกลางรุ่นของรถมินิแวน Toyota Sienna รุ่นปี 2025 จึงไม่เกี่ยวข้องกับการปรับโฉมจริง Sienna รุ่นที่สี่ที่ปรับโฉมใหม่นี้หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์หน้าตา แต่มีการปรับปรุงในเรื่องของอุปกรณ์เสริมความสะดวกสบายในการเดินทางทั้งในเรื่องของเครื่องดูดฝุ่น ตู้เย็น และอุปกรณ์ดูแลเด็ก
อุปกรณ์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่เสียทีเดียว เพราะถ้าย้อนไปในปี 2020 Toyotaได้ประกาศเปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นและตู้เย็นสำหรับ Sienna มาแล้ว แต่ด้วยช่วงเวลาที่เปิดตัวนั้น มีวิกฤตโรคระบาด ทำให้ซัพพลายเออร์ในการผลิต ไม่สามารถผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวได้ในจำนวนมาก ทำให้มีขีดจำกัดในการจำหน่าย และถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่ในปัจจุบัน เมื่อระบบกลับมารันแบบเต็มระบบได้ อุปกรณ์เหล่านี้จึงกลับมาอีกครั้ง
ตู้เย็นและเครื่องดูดฝุ่นจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Platinum และยังเป็นตัวเลือกเสริมในรุ่น Limited ทั้งสองส่วนประกอบจะรวมอยู่ที่ด้านหลังของคอนโซลกลางด้านหน้า โดยตู้เย็นขนาดเล็กนี้ จะสามารถใส่ขวดน้ำขนาด 600 มิลลิลิตร ได้ 6 ขวด และมีการตั้งค่าอุณหภูมิ 2 ระดับเพื่อทำความเย็นหรือแช่แข็ง ตู้เย็นใช้พลังงานจากคอมเพรสเซอร์เฉพาะ ดังนั้นตู้เย็นจึงทำงานได้ไม่ว่าเครื่องปรับอากาศจะทำงานหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่ไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ไว้
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือระบบช่วยดูแลเด็ก ที่จะเป็นการแจ้งเตือนเบาะนั่งด้านหลัง ที่ทาง Toyota พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการทิ้งเด็กไว้ในรถ โดยจะมีระบบเซนเซอร์ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังแผงบุหลังคาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งจะสแกนการเคลื่อนไหวในแถวที่สองและสามเมื่อดับเครื่องยนต์และล็อกรถ ซึ่งเซนเซอร์นี้มีความละเอียดสูงที่สามารถจับความเคลื่อนไหวของหน้าอกเด็กทารกที่กำลังหายใจอยู่ได้ ซึ่งรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ อีกด้วย หากตรวจจับการเคลื่อนไหวได้ จะมีการแจ้งเตือนด้วยเสียงสัญญาณเป็นจำนวน 9 ครั้ง และหากยังไม่มีการตอบสนองต่อการแจ้งเตือน ระบบจะทำการปลดล็อกตัวรถเองอัตโนมัติ ภายในเวลา 90 วินาที และเสียงสัญญาณเตือนจะเปลี่ยนเป็นเสียงแตร ที่ดังต่อเนื่องจนกว่าจะมีการเปิดประตู ซึ่งระบบนี้มีการป้องกันขั้นต้นด้วยการให้เจ้าของรถลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อรับข้อความแจ้งเตือน หรือระบบโทรอัตโนมัติในกรณีที่มีการแจ้งเตือน
ในขณะที่ระบบภายในห้องโดยสารนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงส่วนของหน้าจอส่วนกลาง โดยจะเปลี่ยนจากหน้าจอขนาด 9.0 นิ้วเป็น 12.5 นิ้ว และรองรับระบบสัมผัสที่พัฒนาใหม่ล่าสุด และยังรองรับระบบ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto เป็นครั้งแรก พร้อมแท่นชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi พอร์ต USB-A 8 พอร์ตและ USB-C อีก 1 ช่อง
ยังไม่มีการประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าราคาเริ่มต้นของตัวรถจะเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1,500 ดอลลาร์ หรือราวๆ 49,800 บาท ซึ่งปัจจุบันรุ่นเริ่มต้น LE มีราคาจำหน่ายที่ 39,080 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1.29 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motortrend.com