เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโมเดลยุคใหม่ของแท้จากแบรนด์ Ferrari ที่ได้สร้างไฮเปอร์คาร์ที่มาพร้อมกับขุมกำลังไฮบริดขนาดใหญ่ และถือว่าเป็นหนึ่งในไอคอนตัวที่รวมจากซีรี่ส์ Rosso Corsa ยุคใหม่ของ Ferrari
Ferrari F80 เป็นตัวแทนของการแสดงออกถึงสมรรถนะการขับขี่บนท้องถนนของ Ferrari ในระดับสูงสุดจนถึงปัจจุบัน เป็นซูเปอร์คาร์ที่ Gianmaria Fulgenzi หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กล่าวว่า “ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ขับรถ เป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อ” แต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน มันคือสัญลักษณ์ที่ส่องประกายของอนาคตของบริษัททั้งในแง่ของวิศวกรรมและการออกแบบ เป็นรถที่รวบรวมปรัชญา “Ferrari Forever” ของแบรนด์ไว้
ตามคำกล่าวของ Enrico Galliera คำว่าตลอดไปหมายถึงการสามารถให้บริการลูกค้าด้วยวิธีการที่จะทำให้รถของพวกเขามีแรงจูงใจในการขับขี่ไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้า การเติบโตของยุคแห่งการใช้ไฟฟ้านำมาซึ่งความท้าทายใหม่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งรวมถึงวิธีการทำให้ทุกอย่างทำงานอย่างสอดประสานกันและด้วยชิ้นส่วนต่างๆ Galliera และทีมงานตระหนักตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจำเป็นต้องนำส่วนประกอบต่างๆ ขึ้นมาเองภายในบริษัทด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือการสามารถเป็นแหล่งข้อมูลเดียว ซึ่งจะทำให้การพัฒนาตัวรถต่อเนื่องและส่งผลได้รวดเร็วที่สุด
ระบบส่งกำลังของ Ferrari F80 ถือเป็นผู้ได้รับผลจากความพยายามของ Ferrari ในการพัฒนาระบบส่งกำลังไฟฟ้าหลายระบบสำหรับ F80 ได้รับการออกแบบ พัฒนา และผลิตขึ้นโดยทีมงานในเมือง Maranello ระบบไฟฟ้าหลักหลายระบบสำหรับ F80 ได้รับการออกแบบ พัฒนา และผลิตขึ้นโดยสมบูรณ์ ในบรรดาระบบที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ชุดแบตเตอรี่ 800 โวลต์ 2.3 kWh ของรถยนต์ ซึ่งนอกเหนือจากเซลล์ลิเธียมที่เอาท์ซอร์สแล้ว ก็เป็นของ Ferrari ทั้งหมด การพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีอยู่เดิมทำให้ Ferrari สามารถลดน้ำหนักได้ 38 กิโลกรัม โดยส่วนใหญ่ต้องยกความดีความชอบให้กับโครงคาร์บอนไฟเบอร์ใหม่และเซลล์ที่อัปเดต แบตเตอรี่นี้ติดตั้งไว้ต่ำในห้องเครื่อง ใช้เพื่อจ่ายไฟให้กับล้อหน้าและชุดช่วงล่างแบบแอคทีฟของรถยนต์เป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ด้านหน้าของ F80 โดยเฉพาะระบบ e-4WD ของ Ferrari ที่ส่งกำลังไปยังล้อหน้า มอเตอร์ทั้งสองตัว (ล้อล่ะหนึ่งตัว) ซึ่งสามารถสร้างเฟืองท้ายอิเล็กทรอนิกส์แบบแยกส่วนได้ และอินเวอร์เตอร์ของรถทั้งหมดถูกบรรจุเข้าด้วยกันอย่างเรียบร้อย มอเตอร์เหล่านี้เป็นมอเตอร์ตัวแรกที่ได้รับการพัฒนาโดย Ferrari ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์อีกตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของรถซึ่งทำหน้าที่หลักในการช่วยกู้คืนพลังงานจากการเบรก เพื่อช่วยชาร์จแบตเตอรี่ และเพิ่มแรงบิดเมื่อจำเป็น มอเตอร์ทั้งสามตัวเพิ่มกำลังเกือบ 296 แรงม้า (hp) ให้กับเครื่องยนต์ เทอร์โบคู่ V-6
มีคำถามเกี่ยวกับเครื่องยนต์ ที่แพร่ในเดนตายของ Ferrari ไม่ได้เลือกตัวเลือกเครื่องยนต์ V-12 คำตอบมันง่ายมาก เพราะเป็นการแข่งรถ ทั้งรถฟอร์มูล่าวันของเฟอร์รารีและ 499P ที่คว้าแชมป์เลอมังส์ 2 สมัยต่างก็ใช้เครื่องยนต์รุ่น 3.0 ลิตร ที่เสริมด้วยองค์ประกอบไฮบริด ดังนั้นการตัดสินใจที่จะใช้เครื่องยนต์รุ่นนี้กับ F80 จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลไม่เสียหายเลยที่เครื่องยนต์รุ่นนี้มีแรงม้าต่อลิตรสูงสุดในบรรดาเครื่องยนต์ของบริษัททุกรุ่นจนถึงปัจจุบัน
จุดเด่นของเครื่องยนต์คือเพลาข้อเหวี่ยงใหม่และก้านสูบและลูกสูบที่ปรับปรุงใหม่ นอกจากนี้ ระบบเทอร์โบไฟฟ้าของเครื่องยนต์ยังได้รับการปรับให้เหมาะสมที่สุดกับเส้นโค้งแรงบิดของเครื่องยนต์ในทุกเกียร์ ซึ่งผู้ผลิตกล่าวว่าเป็นการพัฒนาครั้งแรกสำหรับรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน เป้าหมายคือการส่งแรงบิดของเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จให้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ที่ดูดอากาศตามธรรมชาติมากที่สุดตลอดช่วงรอบเครื่อง ตัวเลขประสิทธิภาพเบื้องต้นของ Ferrari F80 สามารถเร่งจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ด้วยเวลา 2.1 วินาที เร่งความเร็วสูงสุดได้ 217 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งน่าประทับใจอย่างมาก
พลังงานทั้งหมดนั้นถูกส่งไปที่เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่แปดสปีด ซึ่งผู้พัฒนากล่าวว่าจะส่งกำลังอย่างหนักหน่วงในสไตล์การแข่งขันได้อย่างเต็มที่ เมื่อคุณต้องการหยุดหรือชะลอความเร็วของ F80 อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังกล่าวถึงชุดเบรกคาร์บอนเซรามิกใหม่ใช้สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยี CCM-R Plus ซึ่งพัฒนาขึ้นร่วมกับ Brembo ที่อิงจากข้อมูล การใช้วัสดุและเทคโนโลยีจากมอเตอร์สปอร์ตโดยตรง
อีกสิ่งหนึ่งที่ F80 เหนือกว่า คือการสร้างแรงกด หรือ Down Froce ที่ตัวรถสามารถสร้างได้ ประมาณ 2,315 ปอนด์ที่ความเร็ว 155 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากจนแทบไม่เคยเห็นจากรถที่วิ่งบนท้องถนน ด้วยแนวคิดที่ใช้ในรถแข่งของบริษัทเองถูกนำมาใช้อีกครั้งเพื่อปรับการไหลของอากาศใต้และเหนือรถให้เหมาะสม รวมถึงช่องระบายอากาศแบบ S-ducts ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 499P และการติดตั้งแผงบังโคลนด้านหน้า ระบบกันสะเทือนแบบแอ็คทีฟของรถยังมีบทบาทในการยกและลดระดับรถตามความจำเป็นในขณะขับขี่เพื่อให้การไหลของอากาศเป็นไปตามทิศทางที่ถูกต้อง
คุณสมบัติที่เจ๋งที่สุดอย่างหนึ่งของ Ferrari F80 คือสิ่งที่เรียกว่า Boost Optimization ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจที่บันทึกเส้นทางที่คุณกำลังขับได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นจึงตัดสินใจเลือกพื้นที่ในสนามแข่งที่รถสามารถเร่งความเร็วให้คุณได้ ในการใช้งาน คุณต้องตั้งค่าฟังก์ชัน จากนั้นขับไปในสนามแข่งในรอบการแข่งขันเพื่อให้รถสามารถแมปฟังก์ชันนั้นได้ จากนั้นขับตามปกติบนสนามแข่ง เพียงแต่ตอนนี้คุณจะได้รับบูสต์ในพื้นที่ที่รถกำหนดไว้ คุณสามารถเลือกใช้งานในโหมด Performance ที่กระจายพลังบูสต์อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น หรือโหมด Qualify ซึ่งเปิดใช้งาน Beast Mode ของ Boost และผลักดันโซนบูสต์แต่ละโซนให้ถึงขีดสุด
มาถึงเรื่องสุดท้ายนั่นก็คือราคาจำหน่ายของตัวรถ Ferrari F80 โดยทางแบรนด์อิตาเลี่ยนได้ตั้งค่าตัวไว้ที่ 3.9 ลเานดอลล่าร์สหรัญ เมื่อคิดเป็นเงินบาทไทยจะตกที่ประมาณ 129 ล้านบาท ซึ่งตัวรถจะมีการผลิตตามคำสั่งซื้อเท่านั้น ไม่มีการผลิตสต็อกแล้วรอขายแต่อย่างใด หากใครสนใจ ทางบริษัทจะเปิดช่องทางรับคำสั่งซื้อผ่านออนไลน์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 นี้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motortrend.com