เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดรถยนต์อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยสำหรับเจ้าครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกของผู้ผลิตสัญชาติเยอรมัน 2021 Volkswagen ID.4 ที่ตัวมันเองจะกลายเป็นคู่ต่อสู้กับ Chevrolet Bolt EV, Hyundai Kona EV และ Kia Niro EV โมเดลพลังงานไฟฟ้าที่ทำตลาดอยู่ก่อนหน้านี้
[adsforwp id=”1302″]
ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรกของผู้ผลิตในการปรับรูปแบบแหล่งพลังงานจากน้ำมันสู่ไฟฟ้า โดยก่อนหน้านี้ VK ได้ทำการปรับเปลี่ยน e-Glof รถยนต์ขนาดเล็กให้ใช้พลังงานไฟฟ้ามาแล้ว ทำให้โลกได้เห็นถึงแรงบันดาลใจเกี่ยวกับไฟฟ้าทั้งหมดของ Volkswagen ถึงแม้ว่าตัวรถนั้นจะไม่ปังสักเท่าไหร่กับระยะทางที่สามารถวิ่งได้เพียง 125 ไมล์ (201 กิโลเมตร) และราคาเริ่มต้นที่ 31,895 ดอลลาร์ (1,,009,400 บาท) แต่ทางผู้ผลิตเองก็กลับมาแก้มือใหม่ กับโมเดล Volkswagen ID.4 ที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ไกลถึง 250 ไมล์ (402 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จไฟเพียงหนึ่งครั้ง
Volkswagen ID.4 จะใช้แพลตฟอร์มเดียวกับรถแฮทช์แบ็ก VK ID.3 บนแพลตฟอร์ม MEB ของบริษัท มาพร้อมแบตเตอรี่ 82 kWh เหนือกว่า Bolt (66 kWh), Niro EV และ Kona EV (64 kWh), Mustang Mach-E (75.7 kWh) และ not-a-crossover Nissan Leaf Plus (62 kWh) อย่างไรก็ตามชุดแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่กว่านั้นไม่ได้มาพร้อมกับการขับขี่ที่ได้ระยะทางไกลมากขึ้น จากข้อมูลของ Volkswagen ID.4 จะมีระยะ 250 ไมล์ ซึ่งเทียบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆ กันอย่าง Bolt’s 259 ไมล์ Kona 258 ไมล์ Niro 239 ไมล์ Mach-E 230 ไมล์และ Leaf’s 226 ไมล์ เห็นได้เลยว่าระยะทางที่สามารถทำได้นั้นไม่ทิ้งห่างกันสักเท่าไหร่
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งด้านหลังให้กำลัง 201 แรงม้า (HP) พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุด 309 นิวตันเมตร ให้กำลังเท่ากันกับ Kona และ Niro แต่มีแรงบิดที่น้อยกว่าพอสมควร โดย Kona จะมาพร้อมแรงบิดสูงสุด 395 นิวตันเมตร Niro มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 361 นิวตันเมตร เห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
[adsforwp id=”1302″]
ในแง่ของการออกแบบ Volkswagen ID.4 คือรูปแบบที่ชาญฉลาดและน่าสนใจ ด้วยเส้นโค้งที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่าย ดูสอดคล้องกับรุ่น Beetle, Bus และ Karmann Ghia ในอดีต แน่นอนว่าไฟหน้าและไฟท้ายที่นั้นดูทันสมัยอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการเน้นวงแหวน LED ที่น่าดึงดูดและแถบไฟหน้าและหลังแบบเต็มความกว้าง ไม่มีกระจังหน้าที่จะพูดถึงการลดปริมาณการระบายความร้อน ที่ติดตั้งกันชนส่วนหน้าจึงมีความโฉบเฉี่ยวและคมชัด ภายในไฟหน้าได้รับการออกแบบอย่างประณีตพร้อมด้วยโปรเจ็กเตอร์เรืองแสงที่ครอบคลุม
มุมมองด้านหลังได้รับการออกแบบอย่างประณีตเช่นเดียวกับด้านหน้ายกเว้นเพียงอย่างเดียวคือแถบสะท้อนแสงสีดำที่ดูยุ่งเหยิงล้อมรอบที่มุมกันชน มันน่าจะดีกว่านี้หากทางผู้ผลิตให้สีของคิ้วนั้นเหมือนกับสีของตัวรถ แผงไฟท้าย LED แบบ Full-width มีอินเลย์รูปทรงเรขาคณิตแบบเดียวกับไฟหน้า จากหัวจรดท้าย การออกแบบที่สะอาดตาโดยทั่วไปของ ID.4 นั้นน่าดึงดูดโดดเด่นและล้ำยุค
ภายในห้องผู้โดยสาร สะดุดตาด้วยหน้าจอแสดงผลขนาด 5.3 นิ้ว ใต้พวงมาลัย มาพร้อมกับเทคโนโลยี Volkswagen Digital Cockpit ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในห้องโดยสารที่เรียบง่ายนี้ จอแสดงผลที่เรียบง่าย มีสามส่วนที่กำหนดค่าใหม่ได้ซึ่งแสดงข้อมูลที่สำคัญที่สุดพร้อมสถานะการชาร์จและปริมาณของแบตเตอรี่ที่แสดงอยู่ด้านล่าง หน้าจอนี้จะมีการควบคุมแบบสัมผัสบนพวงมาลัย หน้าจอ infotainment display ขนาด10 นิ้ว บนรุ่นมาตรฐาน และ 12 นิ้วที่เป็นตัวเลือกเสริม ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง ทำมุมเข้าหาคนขับเล็กน้อยโดยมีแถบเลื่อนสำหรับส่วนควบคุมเครื่องปรับอากาศภายในห้องโดยสาร และระดับเสียงของระบบเสียงที่ติดตั้งอยู่ใต้หน้าจอ การนำทางมาตรฐานและการควบคุมด้วยท่าทางแบบไม่ต้องสัมผัสนำคุณสมบัติที่เหนือกว่ามาสู่ Volkswagen
ด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย ID.4 ได้รับสวิตช์โยกแทนที่ตัวเลือกการส่งสัญญาณแบบเดิม ติดตั้งที่ด้านขวาของคลัสเตอร์ พื้นที่มากมายในคอนโซลกลางสำหรับช่องสำหรับชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ช่องเสียบ USB-C สองช่อง ที่วางแก้ว 2 ช่องและช่องเสียบขนาดใหญ่พร้อมที่เก็บของเพิ่มเติมใต้คอนโซล ใกล้แท่นวางเท้า
ด้านหลังแถวที่สอง มีพื้นที่เก็บสัมภาระ 30.3 ลูกบาศก์ฟุต ขยายเป็น 64.2 ลูกบาศก์ฟุต เมื่อพับเบาะหลัง ในความเป็นจริง VW มีพื้นที่วางเบาะหลังมากกว่า Nissan Leaf เมื่อพับเบาะ โดยรวมความจุของห้องโดยสารของเจ้า ID.4 นั้นจะอยู่ที่ ห้องโดยสาร 99 ลูกบาศก์ฟุต ซึ่งนับว่าเป็นพื้นที่ห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ลำดับต้นๆ ของกลุ่มผลิตภัณฑ์
Volkswagen ID.4 มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยครบครัน ภายใตแพ็กเกจ new IQ.Drive suite ที่จะมาพร้อมกับระบบเตือนภัยก่อนชนด้านหน้า forward collision warning with pedestrian monitoring ระบบการเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ การตรวจสอบจุดบอด ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถ และระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบปรับอัตโนมัติ นอกจากนี้ ID.4 ยังมีการตรวจสอบป้ายถนนเซ็นเซอร์ที่จอดรถและเซนเวอร์แจ้งเตือนความสูงอัตโนมัติ ในกรณีที่เกิดการชนกันถุงลมนิรภัย 6 จุด จะประกอบไปด้วย ถุงลมนิรภัยลำตัวด้านหน้าและด้านข้างสำหรับแถวแรกและถุงลมนิรภัยคู่สำหรับที่นั่งแถวหลัง ช่วยปกป้องผู้โดยสาร ขาดเพียงถุงลมนิรภัยที่เข่าของผู้โดยสารที่ไม่ได้ติดตั้งมาให้ ขณะเดียวกันโครงอะลูมิเนียมอัดขึ้นรูปจะช่วยป้องกันแบตเตอรี่จากความเสียหายจากการชนและ ID.4 จะตัดการเชื่อมต่ออาร์เรย์ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติหลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
มาถึงตรงนี้เจ้า ID.4 ก็เป็นรถที่น่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่ทางผู้ผลิตเองมีข้อเสนอที่น่าสนใจและเป็นแรงจูงใจให้กับผู้ซื้อเจ้า Volkswagen ID.4 ในตลาดอเมริกาโดยเฉพาะ กับการร่วมมือออกแคมเปญพิเศษกับ Electrify America สถานีบริการชาร์จไฟสำหรับยานพาหนะที่มีสาขาทั่งอเมริกากว่า 3,000 แห่ง ที่จะให้บริการในการประจุไฟสำหรับลูกค้า ID.4 แบบฟรีไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตลอดอายุสามปี แต่สิทธิประโยชน์นี้จะไม่ครอบคลุมถึงลูกค้าเชิงพาณิชย์รวมถึงผู้ให้บริการรถโดยสาร อย่างไรก็ตามสำหรับผู้บริโภคทั่วไปการชาร์จฟรี 3 ปีถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
Volkswagen ID.4 จะเริ่มเข้าสู่ตลาดอเมริกาในไตรมาสแรกของปี 2021 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 39,995 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,265,261 บาท สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และจะมีรุ่นที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนทุกล้อหรือ AWD ที่จะมีราคาเริ่มต้นที่ 43,695 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,382,532 บาท นอกจากนี้ผู้ซื้อจะได้รับเงินอุดหนุนเครดิตภาษีของรัฐบาลกลางมูลค่า 7,500 ดอลล่าร์ (237,334 บาท) เป็นส่วนลดสำหรับการซื้อเจ้า ID.4 ทุกรุ่นอีกด้วย
Credit : www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]