ย้อนกลับไปในปี 2017 MINI ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษ ได้เปิดตัวรถยนต์แนวคิดพลังงานไฟฟ้า MINI “Electric Concept” ที่เป็นโมเดลเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ในเชิงธุรกิจ เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของกระแสยานยนต์โลก ซึ่งมันเป็นรากฐานในการพัฒนาโมเดลพลังงาน EV ของทางค่ายมาตลอดเกือบๆ 4 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งล่าสุด ผู้ผลิตก็ได้เปิดตัวผลิตถัณฑ์ EV คันแรกของค่ายอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
[adsforwp id=”1302″]
โดยเจ้า Min “Cooper SE” นั้นนำเอารากฐานมาจาก Cooper S และ Electric Concept มาผสมผสานกัน โดยเราจะได้เห็นจากรหัสประจำตัว SE ที่สามารถแยก S มาจาก Cooper S และ E จาก Electric Concept โดยที่ตัวรถนั้นมาพร้อมกับ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ออกแบบให้มีขนาดเล็กเป็นพิเศษ แต่มีความสามารถในการรีดเต้นพลังงานสูงสุดได้สูงถึง 184 แรงม้า (HP) และแรงบิดสูงสุด 27.5 kgm มีความสามารถในหารทำความเร็ว 0-60 กิโลเมตรในเวลา 3.9 วินาที และเร่งความเร็วจาก 0-100 ด้วยเวลา 7.3 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แบตเตอรี่แรงดันสูงเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีโมดูล 12 โมดูล มีความจุ 32.6kWh และวางเป็นรูปตัว T ใต้พื้นรถ โดยมีความสามารถในการให้พลังงานในการวิ่งทำระยะต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งที่ 270 กิโลเมตร ใช้เวลาในการรีชาร์จแบตเตอรี่จาก 0-100% ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง บนอุปกรณ์ที่มีกำลังจ่ายไฟ 11 KW โดยที่มีความสามารถรองรับการชาร์จเร็วบนแท่นกำลัง 55 KW ที่สามารถชาร์จไฟจาก 0-80% ได้ในระยะเวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ตัวรถ Cooper SE ยังมีน้ำหนักตัวรวมที่เบากว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปถึง 150 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ตัวรถมาพร้อมกับโหมดการขับขี่สี่รูปแบบ โดยผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ด้วยสวิทซ์ข้างพวงมาลัย โดยแต่ล่ะโหมดนั้นจะไม่เพียงแค่ปรับการส่งกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไปยังเพลาขับ แต่ยังมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนการทำงานของพวงมาลัยให้สอคคล้องกับโหมด อาทิเช่น โหมด Sport ตัวรถจะปลดปล่อยพละกำลังอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งปรับการตอบสนองของพวงมาลัยที่ให้ Feedback ที่ดีกว่าโหมดอื่นๆ และในโหมด Green+ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยโหมดการขับขี่นี้ไม่เพียงแต่จะจำกัดความเร็วในการเคลื่อนที่แล้ว ระบบปรับอากาศ ระบบความทำร้อนของเบาะที่นั่ง จะถูกจำกัดการเข้าถึง โดยจะนำพลังงานไปเพิ่มให้กับระยะในการวิ่งให้สูงที่สุด
[adsforwp id=”1302″]
นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบรีชาร์จกำลังไปเป็นเก็บไว้ในแบตเตอรี่ทุกครั้งเมื่อมีการถอนคันเร่ง มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแปลงพลังงานจลน์เป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บพลังงานไฟฟ้านี้ไว้ในแบตเตอรี่แรงดันสูง โดยสามารถเพิ่มระยะทางในการวิ่งได้เล็กน้อย แต่ระบบนี้จะถูกปิดลงเมื่อระบบตรวจเจอการเบรกฉุกเฉินหรือการกระแทกเบรกด้วยน้ำหนักที่ผิดปกติ
ภายนอกตัวรถโดยรวมนั้นดูคล้ายกับ Mini Cooper S เป็นอย่างมาก แต่มีความแตกต่างที่กระจังหน้าจะไม่มีช่องระบายอากาศที่เอาอากาศเข้ามาช่วยระบายความร้อนที่เกิดจากการทำงานของเรื่องยนต์ ทำให้ตัวรถดูเรียบเนียน และยังมีการเน้นการใช้สีเหลืองในส่วนของการตกแต่งกระโปรงหน้า กระจกมองข้าง ประตูท้าย และยังคงลวดลายความเป็นสปอร์ตที่ชัดเจนบนลายกราฟฟิกที่ประดับอยู่บนตัวรถ
ภายในห้องโดยสาร ที่นั่งคนขับจะมาพร้อมกับจอแสดงผลขนาด 5.5 นิ้ว พร้อมแผงหน้าปัดสีดำดีไซน์พิเศษเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยเป็นหน้าจอแบบดิจิตอลแสดงความเร็วตัวรถ และปริมาณแบตเตอรี่ พร้อมกับข้อมูลต่างๆ ที่ควรรู้ของตัวรถ เช่น โหมดการขับขี่ที่ใช้งานอยู่ อุณหภูมิภายในห้องโดยสาร อุณหภูมิของเบาะนั่ง รวมไปถึงการแจ้งเตือนความผิดปกติต่างๆ ของตัวรถ
ในส่วนหน้าจอสาระบันเทิงนั้นจะมาพร้อมกับข้อมูล “eDrive” ที่ช่วยในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการไหลของพลังงานและการวิ่งในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังนำเสนอวิธีการขยายระยะทางในการวิ่งให้ได้ไกลที่สุด เช่นการปิดใช้งานคุณสมบัติความสะดวกสบายและการเพิ่มความยืดหยุ่นของการใช้พลังงาน อีกทั้งระบบยังช่วยคำนวนความเหมาะสมของระยะทางจากการกำหนดการเดินทางด้วย GPS พร้อมกับการให้ข้อมูลความเร็วที่เหมาะสม สถานีชาร์จไฟระหว่างเส้นทางเป็นต้น
การเปิดตัวครั้งแรกของ Mini “Cooper SE” นั้นคือการเข้าร่วมการแข่งขัน Rally ที่ประเทศโรมาเนีย เมื่อวันที่ 9-12 ตุลาคมที่ผ่านมา การเข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกระบบส่งกำลังของ Continental ViSCO Technologies และโครงการร่วมของ MINI Electric Racing โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนารถแข่งที่ใช้ MINI Cooper SE ไม่เพียง แต่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพแบบไดนามิกของ MINI เท่านั้น แต่ยังรวมถึงศักยภาพของเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าของ BMW Group ด้วย การเข้าร่วมในโครงการ ViSCO Technologies ซึ่งจัดการโซลูชั่นการใช้พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรถพลังงานไฟฟ้าสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะ
Credit : response.jp
[adsforwp id=”1302″]