เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นครั้งแรกที่ 2021 Subaru Forester D Type ได้เปิดทำการจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ผ่านโชว์รูมและตัวแทนจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งการเปิดให้จำหน่ายในครั้งนี้มันก็จะมาพร้อมกับข้อมูลหลายๆ ด้านที่ถูดเปิดเผยออกมา และเราก็ได้รวบรวมไว้ในข่าวนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
[adsforwp id=”1302″]
หลังจากการประกาศ Pre-Order ไปสำหรับ 2021 Subaru Forester D Type เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็มีบรรดาสาวกของ Subaru ในประเทศญี่ปุ่น เข้ามาสอบถามและทำการจองล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งความพิเศษในของการเปิดให้พรีออร์เดอร์นั้น ก็คือผู้จองในล็อตแรก จะได้รับรถในวันที่ 19 สิงหาคม พร้อมกับการเปิดจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็มียอดการจองเข้ามามากกว่า 2,500 คัน โดยที่ทางผู้ผลิตเองยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของการ Minor Chage ที่มากเพียงพอ ซึ่งนั้นหมายถึงความเชื่อใจต่อผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ที่มากนั่นเอง
และเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ทาง Subaru ก็ได้เปิดจำหน่ายเจ้า 2021 Subaru Forester D Type อย่างเป็นทางการ โดยภาพรวมแล้ว ราคาของมันในตลาดญี่ปุ่นนั้น มีราคาที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมที่ 11,000 – 22,000 เยน หรือประมาณ 3,347 -6,694 บาท โดยจะมีการแบ่งออกเป็น 4 เกรดหลักๆ ประกอบไปด้วย “Touring”, “X-Break”, “Sport” และ “Advance”
[adsforwp id=”1302″]
โดยพื้นฐาน 2021 Subaru Forester D Type จะใช้พื้นฐานเครื่องยนต์e-Boxer 4 ลูกสูบนอน 2.0 ลิตร Direct Injection พร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ที่มีความสามารถในการขับขี่แบบ Off-Road ขั้นสูง และมีระบบความปลอดภัย Subaru Eyesight เป็นพื้นฐาน โดยรุ่นเริ่มต้นนั้นจะเป็นรุ่น Touring ที่พกพาอุปกรณ์มาตรฐานโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลัง ชุดล้อขนาด 17 นิ้วมาตรฐานสี Dark Metallic เบาะนั่งแบบผ้ากันน้ำ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เบาะนั่งปรับอุณหภูมิคู่หน้า โดยมีระบบ Keyless สำหรับการเข้าสู่ตัวรถ และการสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบบ Side View Monitor โหมด X-Mode 2 โหมดย่อย พร้อมระบบ Hill Descent Control ระบบเกียร์ e-Active Shift Control และถุงลมนิรภัยสำหรับผู้โดยสาร ในราคาเริ่มต้นที่ 2,937,000 เยน (831,345 บาท) ราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 22,000 เยน (6,694 บาท ) โดยจะมีเพิ่มอีก 6 ตัวเลือกพิเศษพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของอุปกรณ์และระบบ Subaru Eyesight+ ที่เพิ่มขึ้น โดยรุ่นท๊อปของเกรด Touring จะมีราคาที่ 3,300,0000 เยน (934,158 บาท)
2021 Subaru Forester D-Type “Touring”
เกรดต่อมา X-Break ที่จะมีความต่างจากรุ่น Touring ที่เบาะนั่งผ้ากันน้ำสีแดง-ส้ม พร้อมการเดินลายตะเข็บสีขาว ไฟตัดหมอก LED แบบ 6 ดวง เบาะนั่งปรับอุณหภูมิคู่หน้า และแถวหลังฝั่งซ้าย ไฟท้าย LED เหนือประตูหลัง วัสดุรองแบบกันน้ำสำหรับส่วนบรรทุกด้านหลัง ส่วนตกแต่งสีบริเวณกันชนท้าย ราววางสัมภาระเหนือหลังคา ในราคาเริ่มต้นที่ 3,080,000 เยน (871,220 บาท) ราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 22,000 เยน (6,694 บาท ) และตัวเลือกเพิ่มอีก 4 ตัวเลือกที่มีราคาสูงสุด 3,344,000 เยน (946,333 บาท)
2021 Subaru Forester D-Type “X-Break”
เกรด Advance ที่จะเสริมจากรุ่น Touring ด้วยวงล้อขนาด 18 นิ้ว เบาะนั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง สำหรับคู่หน้า พร้อมระบบจดจำตำแหน่งตามการเซ็ตค่า วัสดุกันน้ำสี Black&Black แป้นคันเร่งและแป้นเบรกอลูมิเนียมทรงสปอร์ต พร้อมกับชุดแต่งกันชนหน้าหลังสีเงินทรงสปอร์ต เทคโนโลยี Eye Sight+ ที่พ่วงมากับระบบ Driver Monitoring System โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 3,245,000 เยน (918,211 บาท) ราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 22,000 เยน (6,694 บาท ) และตัวเลือกในการอัพเกรดอุปกรณ์และระบบ Eye Sight+ ที่ 5 ตัวเลือกและจะมีราคาสูงสุดที่ 3,487,000 เยน (986,636 บาท)
2021 Subaru Forester D-Type “Advance”
มาถึงเกรดท๊อปของโมเดลอย่างรุ่น Sport ที่จะมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์มาเป็นขนาด 1.8 ลิตร เทอร์โบ 4 ลูกสูบนอน พร้อมกับวงล้อขนาด 18 นิ้ว เบาะนั่งวัสดุ Ultra Surde/Genuine Leather สีเงิน-ดำ ไฟตัดหมอกหน้าทรงจตุรัส 3 ดวง แยกซ้ายขวา ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมการจดจำค่าตามที่เซ็ตไว้ ระบบ Eye Sight+ เต็มรูปแบบ อุปกรณ์แต่งกันชนหน้าหลัง ราววางสัมภาระเหนือหลังคา สีเงิน ในราคาเริ่มต้น 3,366,000 เยน (952,216 บาท) ราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า 11,000 เยน (3,347 บาท ) และมีตัวเลือกเสริมจากโรงงานอีก 3 ชุดรุ่นท๊อปสุดจะเสริม ประตูหลังไฟฟ้า หลังคา Sun Roof ที่กว้างกว่า และระบบเสริม eXpanded View ที่ด้านหน้าและระบบ Smart Rear View mirror ที่ด้านหลัง ในราคา 3,476,000 เยน (983,805 บาท)
2021 Subaru Forester D-Type “Sport”
สำหรับผู้ที่สั่งจองแบบ Pre-Order ในล็อตแรกก็ได้รับตัวรถไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนผู้ซื้อที่พึ่งจะสั่งซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่นนั้น จะต้องรอการผลิตในล็อตที่สอง ที่คาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ในเดือน ตุลาคมที่จะถึงนี้ ส่วนการทำตลาดนอกประเทศญี่ปุ่นนั้นคาดว่าตลาดหลักที่จะได้รับการอัพเดทก่อนใครก็คือตลาดของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และตามด้วยโซนยุโรปและเอเชีย ส่วนประเทศไทยนั้น คาดว่าจะมีการอัพเกรดกันในช่วงกลางปี 2022 เป็นอย่างไว หรืออาจจะรอกันยาวถึงปลายปี 2022 เลยถ้าสถานการณ์การระบาดในประเทศไทยยังไม่ดีขึ้น
Credit : creative311.com
[adsforwp id=”1302″]