นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของแบรนด์ BMW ในการรุกตลาดยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่สอดคล้องกับปริมาณความต้องการในตลาดแบบถูกที่ ถูกเวลา ทำให้ในไตรมาสแรกของปี 2022 BMW มียอดการจำหน่ายรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้นเป็น 149.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันจากปี 2021 ที่ผ่านมา
[adsforwp id=”1302″]
ยอดการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นถึง 149.2% ที่อ้างถึงนี้ไม่ใช่นับเฉพาะในตลาดใหญ่อย่างยุโรปเท่านั้น แต่เป็นการนับรวมในตลาดทั่วโลก ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2022 นี้ BMW ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปแล้วมากถึง 35,289 คัน และมียอดการจำหน่ายทุกรูปแบบทั่วโลก 596,907 คัน โดยจำนวนหนึ่งจะมีแบรนด์ลูกข่ายอย่าง Mini และ Rolls-Royce อยู่ในนั้นด้วย
Pieter Nota สมาชิกคณะกรรมการลูกค้า แบรนด์ และการขายของ BMW ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “จุดเน้นที่ชัดเจนของเราคือการเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในไตรมาสแรก เราก้าวไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วจากปี 2021 ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก และกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ทะเยอทะยานของเราสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบในปี 2022”
“ความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านอารมณ์และนวัตกรรมของเราพร้อมระบบขับเคลื่อนที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า และยังคงเห็นการตอบรับที่ยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งและระดับความยืดหยุ่นและความเป็นเลิศในการดำเนินงานของเรา เราคาดว่ายอดขายทั้งปี 2022 จะเทียบเท่ากับปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีความท้าทายในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยจากสถานการณ์ปัจจุบัน”
[adsforwp id=”1302″]
จากข้อมูลการจำหน่าย พบว่า BMW iX และ i4 มีส่วนอย่างมากกับการเพิ่มจำนวนของยอดจำหน่ายในปีนี้ ในขณะที่การเปิดตัวในตลาดโลกยังคงดำเนินต่อไป บริษัทคาดว่าจะพยายามรักษาแนวทางนี้ไว้ไปจนถึงสิ้นปี 2022 ด้วยตัวเลขยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งปีก็ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2021 ที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ BMW ดูมั่นใจกับแผนงานนี้เป็นอย่างมาก เพราะในมือของ BMW เองยังมีโมเดลพลังงานไฟฟ้าที่รอการเปิดตัวอย่าง iX1 และรถยนต์ไฮบริดและ PHEV ในซีรี่ส์ i3, i5 และ i7 ซึ่งทั้งหมดมีกำหนดการในการเปิดตัวภายในปี 2022 ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราก็ได้เห็น i3 eDrive35L ที่กำลังจะเปิดตัวในประเทศจีนเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ BMW ยังมีแผนการสำหรับการเพิ่มโมเดลพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ หรือ BEV อีก 15 รุ่น ภายในปี 2022 ซึ่งจะคิดเป็น 90% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท อีกทั้งยังมีแผนสำหรับเตรียมการรองรับยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 2 ล้านคันทั่วโลกให้ได้ภายในปี 2025 และยังจะมีการเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่ EV Neue Klasse ที่จะนำเสนอสถาปัตยกรรมไอทีและซอฟต์แวร์ที่ได้รับการปรับปรุง มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงเจเนอเรชั่นใหม่ และความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับลูกข่ายอย่าง MINI และ Rolls-Royce ที่มีแผนเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบให้ได้ในปี 2030 และในปีเดียวกันนี้ BMW จะยุติการผลิตรถยนต์ที่ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งหมดอีกด้วย
Credit : paultan.org
[adsforwp id=”1302″]