เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา บริษัท Smart Automobile ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกของทางค่าย กับเจ้า Smart #1 รถยนต์เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% โดยเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างผู้ผลิตจากประเทศเยอรมันและประเทศจีน
[adsforwp id=”1302″]
Smart Automobile เป็นการร่วมทุนครั้งใหม่ระหว่างผู้ผลิตยานยนต์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Mercedes-Benz ที่ได้ผนึกกำลังกับผู้ผลิตสัญชาติจีนอย่าง Geely Automobile ที่ปัจจุบันถึงครอบตราสินค้า Volvo และ Lotus ด้วยปรัชญาการออกแบบ “Sensual Producty” โดยทีมออกแบบระดับโลกของ Mercedes-Benz ซึ่งจะทำให้เราสังเกตได้ว่าตัวรถนั้นมีความเพรียวบาง ทั้งๆ ที่มิติตัวรถนั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่า Urban SUV ทั่วๆไป
มิติตัวรถของ Smart #1 จะมีความยาว 4,270 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,822 มิลลิเมตร ความสูง 1,636 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาว 2,750 มิลลิเมตร ในแง่ของงานออกแบบที่อิงหลักการ “Sensual Producty” จะมี Active Grill Shutter ซึ่งมาพร้อมกับมือจับประตูแบบซ่อนเป็นมาตรฐานและแพ็คเกจแอโรไดนามิกที่มีประสิทธิภาพ มีส่วนช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพแอโรไดนามิก แรงต้านลมและเสียงรบกวน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ความสะดวกสบาย และการขับขี่ดีขึ้น
[adsforwp id=”1302″]
ในส่วนของขุมกำลังนั้น Smart #1 จะมาพร้อมกับมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าที่ล้อหลัง ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า (HP) พร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 66 kWh ที่รองรับระยะทาง 440 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟหนึ่งรอบ จากการทดสอบ WLTP โดยมีระยะเวลาในการชาร์จไฟจาก 0-80% จะใช้เวลา 3 ชั่วโมง บนสถานีไฟกระแสสลับ (AC) แรงดันไม่เกิน 22 Kw และใช้เวลาเพียง 30 นาที บนสถานีชาร์จไฟกระแสตรง (DC) แรงดัน 150 Kw
ในแง่ของประสิทธิภาพ นอกเหนือจากระยะทางสูงสุดที่จะวิ่งได้ไกล 440 กิโลเมตร แล้ว ตัวรถยังมีคุณสมบัติในการทำความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีตัวช่วยเป็นระบบควบคุมอุณหภูมิแบตเตอรี่ขั้นสูง ช่วยรักษาสภาพการทำงานที่เหมาะสมของแบตเตอรี่แม้ในอุณหภูมิต่ำ อีกทั้งยังมีการรองรับการสั่งการล่วงหน้าผ่าน Smart APP ที่สามารถกำหนดระยะเวลาในการขับขี่ อุ่นแบตเตอรี่ล่วงหน้าให้พร้อมสำหรับการเดินทาง ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแบตเตอรี่และการชาร์จไฟอีกด้วย
Smart #1 ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ณ ตอนนี้ คาดว่าการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ พร้อมกับการประกาศรุ่นที่จะมาพร้อมกับความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้น ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ส่วนการจำหน่ายจริงคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 โดยจะใช้ตลาดยุโรปและประเทศจีนเป็นตัวนำร่อง ก่อนจะเข้าสู่ภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป
Credit : response.jp
[adsforwp id=”1302″]