BMW ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติเยอรมัน ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Series 7 ที่มีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ มีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยทั้งในด้านของดีไซน์และขุมกำลัง และวันนี้พวกเราทีมงาน Thai-Driving ก็ได้รวบรวมข้อมูลจากการเปิดตัว เพื่อมานำเสนอให้ผู้อ่านได้ทราบกันครับ
[adsforwp id=”1302″]
2023 BMW Series 7 จะมีให้เลือกรูปแบบของขุมกำลัง 3 รูปแบบ ประกอบไปด้วยรุ่นที่ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) บวกกับมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าแบบ Mind Hybrid รุ่น PHEV และรุ่น BEV ที่จะเป็นรุ่นไฟฟ้า 100% โดยจะใช้รหัส i7 ซึ่งจะจำหน่ายควบคู่ไปกับ i6 โดยกลุ่มที่ยังมีส่วนประกอบของเครื่องยนต์สันดาปภายใน จะใช้งานขุมกำลังใหม่แบบ V8 พร้อมกับแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดที่ปรับปรุงเพื่อให้เข้ากับการใช้งานในยุคสมัยใหม่ BMW Series 7 ทั้ง 3 รุ่นจะผลิตโดยโรงงาน Dingolfing ในประเทศเยอรมัน ร่วมกับอีก 7 รุ่นจาก Series ต่างๆ
สำหรับรุ่นเริ่มต้นนั้น จะมีรหัสประจำตัวคือ BMW 760i xDrive โดยจะมาพร้อมกับขุมกำลัง V8 เทอร์โบชาร์จใหม่ทั้งหมด ขนาด 4.4 ลิตร โดยมีการออกแบบท่อรวมไอเสีย Croos-Bank ใหม่ เพิ่มการระบายความร้อนด้วยน้ำมันด้วยปั้มน้ำมันแบบใหม่พร้อมกับอ่างเก็บน้ำมันที่ออกแบบมาเฉพาะให้มี้หนักที่เบากว่า ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้รับการออกแบบใหม่เชื่อมโยงกับระบบสตาร์ทเตอร์แบบไฮบริดขนาด 48v ระบบส่งกำลังแบบสปอร์ต 8 สปีดที่มาพร้อมกับระบบ Adaptive Recuperation ให้กำลังสูงสุด 536 แรงม้า แรงบิด 553 ib-ft เร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-92 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในเวลา 4.2 วินาที
รุ่นต่อมาจะเป็น PHEV หรือ ปลั้กอินไฮบริด ภายใต้รหัส BMW 740i s-Drive ที่จะพกพาขุมกำลัง Miller-cycle 3.0 ลิตร แบบ 6 ลูกสูบแถวเรียงเทอร์โบชาร์จ ที่ออกแบบห้องเผาไหม้และช่อไอดีใหม่ เพลาลูกเบี้ยวแปรผัน ให้กำลัง 375 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 383 ob-ft มีความสามารถในการเร่งความ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลา 5 วินาที ในส่วนของมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้านั้น จะสามารถเพิ่มแรงบิดให้กับตัวรถได้ 147 ib-Ft และเพิ่มกำลังให้ตัวรถได้ 12 แรงม้า โดยมีระบบรีชาร์จไฟกลับสู่แบตเตอรี่แบบสั้นด้วยการเบรก และยังสามารถป้อนพลังงานให้กับระบบไฟฟ้า 12 โวลต์ของรถยนต์ได้อีกด้วย
ในขณะที่รุ่นไฟฟ้าทั้งหมดนั้น จะมาพร้อมกับรหัส i7 โดยจะมาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ความจุ 101.7 kWh ที่เชื่อมโยงกับชุดขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าสองชุด โดยหนึ่งชุดต่อเพลา ส่งผลให้กำลังรวม 536 แรงม้า และแรงบิด 549 ib-ft ซึ่งได้รับการปรับแต่งมาโดยเฉพาะเพื่อให้เข้ากับเพื่อนในกลุ่ม
ในส่วนของแพลตฟอร์มใหม่นั้น Series 7 จะมีการปรับขนาดแพลตฟอร์มใหม่ โดยเพิ่มความยาว 1.9 นิ้ว ความกว้าง 0.16 นิ้ว และมีขนาดของล้อที่ใหญ่ขึ้น รองรับหน้ายางที่กว้างขึ้น ระบบกันสะเทือนหน้าแบบปีกนกคู่ที่ปรับปรุงใหม่ และระบบกันสะเทือนหลังแบบ 5-Link พร้อมการติดตั้งเฟืองพวงมาลัยแบบยืดหยุ่นใหม่เพื่อการปรับปรุงเรื่องเสียงรบกวน เพลาล้อหลังใหม่ที่เพิ่มระบบ Hydro-Mount เพื่อรองรับการขับขี่ที่นุ่มนวลมากขึ้น
[adsforwp id=”1302″]
ในส่วนของระบบกันสะเทือนทั้ง 4 ล้อนั้น จะได้รับชุดกันสะเทือนแบบถุงลมแบบสองเพลาแบบมาตรฐานพร้อมระบบปรับระดับอัตโนมัติและแดมเปอร์ที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมการปรับสมดุลของการจ่ายลมในแต่ละล้อ ซึ่งช่วยรักษาความสูงในการขับขี่ที่เหมาะสมที่สุดแม้ในความเร็วสูง โดยความสูงของตัวรถจะสอดคล้องกับโหมดการขับขี่ ยกตัวอย่าง ในโหมด Sport ความสูงของตัวรถจะลดลง 0.4 นิ้ว และจะลดลงอีกเมื่อความเร็วแตะ 87 ไมล์ต่อชั่วโมง (140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในทางกลับกันเมื่อต้องการความคล่องตัวสูง เมื่อเปิดระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ BMW Integral Active Steering ตัวรถจากปรับระดับความสูง 0.8 นิ้ว ทำให้ลดองศาของวงเลี้ยวได้สูงสุด 2.5 ฟุต เลยทีเดียว แต่ระบบนี้จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานบน 760i xDrive และ i7 ส่วน 740i ต้องซื้อเพิ่ม
ในขณะที่ BMW “M Sport Package” จะเป็นแพ็กเกจเสริมให้กับ 740i และ 760i แต่จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานบน i7 ซึ่งจะประกอบไปด้วย ล้อ M ขนาด 20 และ 21 นิ้ว พวงมาลัยแบบก้นแบน และมีออฟชั่นเสริมอย่าง “M Sport Professional Package” ที่จะเพิ่มระบบเบรก M Sport พร้อมคาลิปเปอร์สีดำหรือสีน้ำเงิน สปอยเลอร์หลังขนาดเล็ก ลิ้นกระจังและกันชนหน้าแบบเรืองแสง
ภายในห้องโดยสารทุกรุ่นจะได้รับระบบข้อมูล+ความบันเทิง iDRIVE ใหม่ล่าสุด การควบคุมด้วยท่าทางสัมผัสยังคงเป็นการสั่งงานหลัก แต่มีการเสริมคุณสมบัติบางอย่างด้วยการสั่งการด้วยท่าทางอย่างการปรับกระจกมองหลังด้วยการ โบกมือ หมุนมือ และการควบคุมคุณสมบัติบางอย่างยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง เช่นการเปิดหลังคา การค้นหาข้อมูล การปรับอุณหภูมิในห้องโดยสาร
สำหรับวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งภายในห้องโดยสารนั้น จะเป็นวัสดุ Merino leather บน 760i และ 740i จะเป็นหนังVeganza มีให้เลือก 4 สี ตามความต้องการ กล้องที่ติดตั้งบนหลังคาช่วยให้คนขับมองเข้าไปในเบาะหลังได้ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อให้เป็นกล้องสำหรับบันทึกภาพได้อีกด้วย ตัวรถทั้ง 3 รุ่น รองรับการทำงานไร้สายบนเครือข่าย 5G โดยจะมีการแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนการทำงานของตัวรถ และส่วนกระจายสัญญาณสำหรับผู้โดยสาร สามารถเลือกได้สำหรับการโทรและเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนจอแสดงผลใหม่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังสำหรับผู้โดยสาร ระบบเสียงรอบทิศทางของ Bowers & Wilkins Diamond พร้อมลำโพงบริเวณพนักพิงศีรษะ ซึ่งสามารถใช้เป็นไมโครโฟนสำหรับคุยสายได้ในตัว
ยังไม่สุด สำหรับสายเดินทางที่ใช้เวลาบนรถเป็นเวลานานๆ ต้องใช้แพ็กเกจเสริม ด้วยการเพิ่มเงิน 4,750 ดอลล่าร์ (160,702 บาท) ซึ่งจะได้รับหน้าจอ 8K ขนาด 31.3 นิ้วแบบสัมผัสพร้อม Amazon Fire TV โดยจะติดตั้งที่บริเวณหลังคาของผู้โดยสารแถวหลัง และพับขึ้นและปิดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เมื่อไม่ใช้งาน รองรับแอปพลิเคชั่นเสริมทั้ง YouTube และ Netflix และความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องเล่นอื่นๆ ได้ผ่านพอร์ต HDMI 2.0
มาต่อกับที่ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ BMW ได้ร่วมมือกับ Mobileye สำหรับการพัฒนสระบบความปลอดภัยโดยเฉพาะ โดยจะมีการติดตั้งกล้องขนาด 8.0 Mega Pixel เพื่อเป็นตัวช่วยในการลดจำนวนฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นสำหรับเซ็นเซอร์และอาร์เรย์ของกล้อง ในขณะที่เพิ่มจำนวนจุดข้อมูลที่วัดได้เป็นสองเท่า สำหรับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่บนรถเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้านความปลอดภัยเป็นหลัก
ระบบความปลอดภัยจะประกอบไปด้วย Active Cruise Control พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go, Speed Limit Assist, Lane Departure Warning, City Collision Mitigation, Automated Parking เช่นเดียวกับระบบช่วยบังคับเลี้ยวและระบบรักษาช่องทางเดินรถ ซึ่งจะเป็นมาตรฐานของ Series 7 ใหม่ทั้ง 3 รุ่น
Driving Assistance Professional Package ที่เป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยขับแทนในทางหลวงแบบแอนด์ฟรี บนความเร็วสูงสุด 80 ไมล์ต่อชั่วโมง (ไม่เกิน 129 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) พร้อมระบบตรวจสอบผู้ขับเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขับยังอยู่และสามารถควบคุมตัวรถได้ในเวลาจำเป็น ตัวเลือก BMW Live Cockpit Professional นำเสนอฟีดวิดีโอความเป็นจริงเสริมบนหน้าจอด้านหน้าคนขับ พร้อมข้อมูลการอ่านและข้อมูลคำแนะนำที่เหมาะสมกับหน้าฟีดของผู้ขับที่กำลังให้ความสนใจ
ยังไม่มีการเปิดราคาอย่างเป็นทางการของทั้ง 3 รุ่นใหม่จาก BMW Series 7 คาดว่าตัวรถจะมีการประกาศราคาและการจำหน่ายจริงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 และจะส่งมอบตัวรถล็อตแรกสำหรับผู้สั่งจองล่วงหน้าภายในไตรมาสที่สองของปี 2023 โดยจะเน้นไปที่ตลาดยุโรปและอเมริกาเป็นลำดับแรกๆ ส่วนพวกเราชาวเอเชียคงต้องรอกันสักหน่อย อาจจะยาวไปจนถึงช่วงปลายปี 2023 เลยก็เป็นไปได้
Credit : www.motortrend.com
[adsforwp id=”1302″]