ทางค่าย Mitsubishi ได้ทำการเปิดตัว All New Xforce รถ SUV รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ ในประเทศอินโดนีเซียเป็นที่แรกไปแล้ว เมื่อในช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา และได้วางเป้าหมายให้เป็นผลิตภัณฑ์เรือธงลำใหม่ สำหรับการบุกตลาดอาเซี่ยน รวมไปถึงประเทศไทยเราด้วย โดยคาดว่าจะมาพร้อมกับขุมกำลัง 1.6 ลิตรไฮบริด ลูกเดียวกันกับ Xpander HEV ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้
[adsforwp id=”1302″]
โดยตัวรถ All New Mitsubishi Xforce ถือว่าเป็นรุ่นการผลิตจริงของรถ Mitsubishi XFC Concept ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ ทั้งในแง่ของการออกแบบภายนอกและภายใน โดยตัวรถจะมีขนาด 4390/1810/1660 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2650 มิลลิเมตร ซึ่งมีขนาดที่ใกล้เคียงกับ ASX/RVR ที่ปัจจุบันทำตลาดอยู่ในโซนยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นรถ SUV ในพิกัดขนาดกลาง และเป็นคู่แข่งของ Toyota Corolla Cross และ Honda HR-V โดยตรง
[adsforwp id=”1302″]
องค์ประกอบภายในห้องโดยสารนั้น จะประกอบไปด้วย หน้าจอระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับระบบสัมผัส และแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 8 นิ้วสำหรับคนขับ ซึ่งทั้งสองจอจะอยู่มีรอบเดียวกัน เบาะนั่งจะใช้วัสดุผ้า “mélange” ไฮไลท์อีกอย่างคือระบบเสียง Dynamic Sound Yamaha Premium ที่มีลำโพงไม่น้อยกว่า 8 ตัว
จากการให้ข้อมูลของ Mitsubishi ได้ระบุว่าห้องโดยสาร 5 ที่นั่งนั้น จะเป็นหนึ่งในห้องโดยสารที่กว้างขวางและใช้งานได้จริงมากที่สุดในรถกลุ่มนี้ โดยได้รับประโยชน์จากช่องเก็บของมากมาย กล่องเก็บความเย็น เบาะนั่งด้านหลังแบบปรับเอนได้ และที่เก็บสัมภาระแบบปรับแต่งได้ ห้องโดยสารยังได้รับแท่นชาร์จไร้สายพร้อมพอร์ต USB และที่วางสมาร์ทโฟนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ส่วนทางด้านขุมกำลังตัวรถนั้น ในเวอร์ชั่นอินโดนีเซีย จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร ให้กำลัง 103 แรงม้า (hp) และแรงบิด 141 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปยังเพลาหน้าโดยเฉพาะผ่านกระปุกเกียร์อัตโนมัติ CVT แต่ในประเทศไทยเราคาดว่าจะมาพร้อมกับเครื่อง 1.6 ลิตรเบนซิน ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไฮบริด ที่เน้นความแรงและการประหยัดน้ำมัน
และถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นที่ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ตัวรถมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ 4 โหมด Normal, Wet, Gravel และ Mud รวมไปถึงระบบ Active Yaw Control (AYC) และระยะห่างจากพื้นที่มากถึง 220 มิลลิเมตร ช่วยให้การขับขี่บนพื้นผิวที่ขรุขระและลื่น สามารถรับมือกับน้ำท่วมขัง ในทำนองเดียวกัน ระบบกันสะเทือนยังได้รับการปรับแต่งเพื่อความสะดวกสบายบนถนนลาดยางที่อาจจะไม่เรียบเนียนแบบ 100%
ส่วนประเทศไทยเราจะมีการเปิดตัวกันในปี 2024 นี้ แต่จะเป็นช่วงไหนอย่างไรนั้น ต้องมารอติดตามกันต่อไป
[adsforwp id=”1302″]