BYD จัดพิธีเปิดตัวระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูง ที่มีชื่อว่า “God’s Eye” รุ่นล่าสุด การอัปเดตระบบจะทำให้รถยนต์ BYD ทุกคันได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะระดับไฮเอนด์ที่ทันสมัยนี้ รวมไปถึงในรุ่นเล็กแฮทช์แบ็ก อย่าง BYD Seagull ที่มีราคาค่าตัวเริ่มต้น 69,800 หยวน หรือประมาณราว ๆ 3.25 แสนบาท ก็จะได้รับการติดตั้งระบบนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับการติดตั้งระบบ God’s Eye ADAS ดังกล่าวจะแบ่งประเภทการขับขี่อัจฉริยะด้วยกัน 3 ประเภทหลักๆ และจะมาพร้อมระบบเซ็นเซอร์ LiDAR สูงสุด 3 ตัว อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ BYD ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเทศจีนเกี่ยวกับระบบการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูงนี้ เนื่องจากยังตามหลังสตาร์ทอัพคู่แข่งบางราย เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บีวายดีจึงได้เปิดตัวระบบขับขี่อัจฉริยะ ที่มีชื่อว่า “God’s Eye” ล่าสุดขึ้น ซึ่งจะมีประเภทของระบบขับขี่ขั้นสูงอัจฉริยะให้เลือก 3 ประเภท ได้แก่ “God’s Eye A”, “God’s Eye B”, “God’s Eye C”
คุณหวัง ชวนฟู ประธาน BYD เน้นย้ำว่า BYD มีฐานข้อมูลคลาวด์ในรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน เขาอ้างว่าปัจจุบัน BYD มีวิศวกร 110,000 คน และใน 5,000 คนนั้นเป็นวิศวกรด้านการวิจัยและพัฒนาที่ชาญฉลาดในการขับขี่ ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการฝึกอบรมการขับขี่ด้วยระบบ ADAS ของ BYD ในระยะกว่า 72 ล้านกิโลเมตรต่อวัน ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้บีวายดีได้รับการพัฒนาระบบ “God’s Eye” เจเนอเรชั่นล่าสุดขึ้น ประธานบีวายดีเน้นย้ำว่าในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ระบบขับขี่อัจฉริยะนี้จะกลายเป็นระบบสำคัญอีกระบบหนึ่งในรถยนต์ทุกคันของ BYD
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ “God’s Eye” ของ BYD
เจ้าหน้าที่ของ BYD เปิดเผยว่าระบบ ADAS “God’s Eye” มีการแบ่งประเภทการขับขี่อัจฉริยะด้วยกันถึง 3 ประเภทหลักๆ โดยในระบบระดับเริ่มต้นจะเรียกว่า “God’s Eye C” จะประกอบไปด้วยกล้องจำนวน 3 ตัว ที่ติดอยู่ด้านหลังกระจกหน้ารถ ซึ่งระบบ ADAS จะสามารถนำไปใช้ตั้งแต่รถรุ่นเริ่มต้นภายใต้แบรนด์ BYD และระบบการรับรู้อัจริยะนี้จะขับเคลื่อนโดยระบบ DiPilot 100 ที่มีพลังการประมวลผลสูงสุดที่ 100 TOPS
องค์ประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์อื่นๆ ของ “God’s Eye” ได้แก่ กล้อง 12 ตำแหน่ง เรดาร์ระดับคลื่น 5 มิลลิเมตร และเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตำแหน่ง กล้องทั้ง 12 ตำแหน่งจะประกอบด้วย กล้องหน้า 3 ตำแหน่ง กล้องพาโนรามา 5 ตำแหน่ง และกล้องรอบทิศทาง 4 ตำแหน่ง เรดาร์ระดับคลื่น 5 มิลลิเมตร สามารถหมุนได้ 360 องศา โดยเรดาร์ด้านหน้ามีระยะการตรวจจับ 300 เมตร ความแม่นยำของเซ็นเซอร์เรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตำแหน่งอยู่ที่ 1 เซนติเมตร และความแม่นยำในการจอดรถอยู่ที่ 2 เซนติเมตร
ระบบ ADAS ระบบที่ 2 ของ BYD ที่เรียกว่า “God’s Eye B” โดยจะมีเซ็นเซอร์ LiDAR เพื่อปรับปรุงการรับรู้ของระบบช่วยเหลือการขับขี่ของรถยนต์ โดยจะถูกนำไปใช้กับรถยนต์ Denza และรถยนต์รุ่นเรือธงบางรุ่นภายใต้แบรนด์ BYD ระบบนี้จะขับเคลื่อนโดยระบบ DiPilot 300 พร้อมพลังการประมวลผล 300 TOPS
ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูงของ BYD ระบบท็อปสุด เรียกว่า “God’s Eye A” จะใช้ LiDAR ถึง 3 ตำแหน่ง ที่ขับเคลื่อนโดยระบบ DiPilot 600 พร้อมพลังการประมวลผล 600 TOPS ระบบนี้จะนำไปใช้กับรถยนต์ภายใต้แบรนด์หรูอย่าง Yangwang ของ BYD
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ ADAS ของ BYD
คุณ หวัง ชวนฟู ประกาศต่อไปว่ารถยนต์ BYD ทุกรุ่นจะได้รับการติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะ “God’s Eye” ตั้งแต่รุ่น BYD Seagull, BYD Qin Plus DM-i และ BYD Seal 05 DM-i ที่มีราคาต่ำกว่า 100,000 หยวน หรือประมาณราว ๆ (4.65 แสนบาท) รถยนต์ BYD ทุกคันที่มีระบบช่วยเหลือการขับขี่รุ่นใหม่จะมีสถาปัตยกรรมมาจาก Xuanji หมายความว่ารถแต่ละคันมีโปรเซสเซอร์ที่ส่วนกลาง, มี AI บนคลาวด์, AI ฝั่งจะติดตั้งในรถยนต์, มีอินเทอร์เน็ตภายในรถยนต์, ใช้ระบบเครือข่าย 5G, เครือข่ายดาวเทียม, มีระบบเซ็นเซอร์, ระบบการควบคุมการทำงานภายในรถ, ระบบข้อมูลรถ และระบบการนำทาง เป็นต้น
นอกจากนี้ สถาปัตยกรรม Xuanji ของ BYD จะถูกเชื่อมต่อกับโมเดลขนาดใหญ่ Deepseek R1 เพื่อเป็นการปรับปรุงความสามารถ AI ของรถยนต์และระบบคลาวด์ ซึ่งระบบ “God’s Eye A” และ “God’s Eye B” จะรองรับฟังก์ชัน NOA (Navigation on Autopilot) สำหรับวิ่งในเมืองและทางหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้ระบบ “God’s Eye C” ระบบเริ่มต้นจะรองรับเฉพาะฟังก์ชัน NOA ในรถที่มีความเร็วสูงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่ารถรุ่นเริ่มต้นจะได้รับการติดตั้งฟังก์ชัน NOA นี้ด้วยเช่นกัน ผ่านการอัปเดต OTA
ภายในงานแถลงข่าวประธาน BYD ได้โชว์วิดีโอของซุปเปอร์คาร์หรู Yangwang U9 ที่ได้รับการติดตั้งระบบ God’s Eye A ซึ่งกำลังขับขี่บนสนามแข่งแบบไร้คนขับ ให้ได้ชมอีกด้วย
ที่มา: carnewschina.com