BYD ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Seal ปี 2025 ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี SiC (Silicon Carbide) ล้ำสมัยและแพลตฟอร์มแรงดันไฟฟ้าสูง 800V รวมไปถึงการติดตั้ง LiDAR ติดตั้งบนหลังคา ซึ่งเป็นครั้งแรกสำหรับรถยนต์ซีดานของ BYD ที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชันระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS)
BYD Seal 2025 จะมีการเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่ โดยใช้งานแพลตฟอร์ม e-Platform 3.0 Evo ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับที่ใช้ใน Sealion 07 ที่มีระบบควบคุม SiC 1,200V และมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 23,000 รอบต่อนาที มีความสามารถในการทำความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยระยะเวลาเพียง 3.8 วินาที อีกทั้งแพลตฟอร์มใหม่นี้ยังมีการใช้คุณสมบัติพิเศษของเทคโนโลยีการผสานแบตเตอรี่ CTB ปั๊มความร้อนอุณหภูมิกว้างขั้นสูง และรองรับเทคโนโลยี 800V ทำให้สามารถชาร์จจาก 10%-80% ได้ภายในเวลาเพียง 25 นาที (ในสถานีชาร์จกำลังไฟสูง)
ตัวรถจะมีให้เลือกใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลาย โดยจะแบ่งตามขนาดแบตเตอรี่ ที่มีให้เลือกใช้งานทั้งขนาด 61.44 kWh และ 80.64 kWh ซึ่งให้ระยะทาง 510 กิโลเมตร และ 650 กิโลเมตร ตามลำดับ (มาตรฐาน CLTC) รุ่นพื้นฐานมีรุ่นมอเตอร์ด้านหลังขนาด 170 แรงม้า (kW) ในขณะที่รุ่นที่ทรงพลังกว่ามีตัวเลือกมอเตอร์ 230 แรงม้า (kW) และ รุ่นท๊อปจะมีมอเตอร์ขนาด 390 แรงม้า (kW) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ตัวรถรุ่นใหม่ ได้รับประโยชน์จากแชสซีที่ได้รับการอัพเกรดซึ่งมาพร้อมระบบ Disus-C ของ BYD ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวโดยรวม ความเสถียร ความสะดวกสบาย และการควบคุมของระบบกันสะเทือน รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อยังรวมถึงระบบควบคุมการหน่วงขั้นสูงนี้ด้วย
อีกหนึ่งไฮไลท์เด็ด คือการติดตั้งเซนเซอร์ LiDAR ที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชัน ADAS การเพิ่มนี้ช่วยปรับปรุงความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติของรถได้อย่างมาก โดยผสานรวมกับระบบ DiPilot 300 ระดับ L2+ ระบบนี้รวมถึงระบบนำทางความเร็วสูงและในเมืองบนระบบ Autopilot (NOA) และฟีเจอร์จอดรถอัตโนมัติ (AVP)
BYD Seal รุ่นปี 2025 ยังคงใช้ชื่อเดิมแม้ว่าในตอนแรกมีแผนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Seal 07 EV การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ BYD ที่ชอบใช้ชื่อ Seal ที่คุ้นเคยมากกว่า นับตั้งแต่เปิดตัวในประเทศจีน รถยนต์ซีดาน BYD Seal รุ่นดั้งเดิมก็ไม่สามารถติดอันดับ 10 อันดับรถขายดีได้ ต้องรอดูกันต่อไปว่ารุ่นที่ปรับโฉมใหม่นี้จะช่วยเพิ่มความนิยมให้กับตัวรถได้มากน้อยขนาดไหน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก carnewschina.com