เผยโฉมครั้งแรกอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Mercedes-Benz GLA- และ GLB-Class โมเดล subcompact SUV ที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักจากรุ่นก่อนหน้า แต่จัดเต็มด้วยเทคโนโลยี Hybrid ใหม่ “RSG boost” ที่พัฒนาโดยผู้ผลิตสัญชาติเยอรมัน
[adsforwp id=”1302″]
ตามข้อเท็จจริง ระบบ RSG boost ถูกพัฒนาโดย Mercedes-Benz มาตั้งแต่ปี 2017 โดยใช้หลักการของ mond Hybrid 48v เพื่อจ่ายพลังงานให้กับฟังก์ชันไฮบริดแบบอ่อน เช่น การคืนพลังงาน (brake regeneration) การหยุดเครื่องยนต์ การสตาร์ทเครื่องยนต์ การเพิ่มพลังไฟฟ้า และแม้แต่การเคลื่อนรถจากการหยุดด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว คุณลักษณะเหล่านี้จะเปิดใช้งานผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสตาร์ทในตัว หรือที่ทางผู้ผลิตเรียกว่า ISG แต่เจ้า RSG นั้นจะเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยสายพาน
[adsforwp id=”1302″]
นอกเหนือจาก RSG boost แล้ว การเปลี่ยนแปลงใน GLA และ GLB นั้นเรียกได้ว่ามีน้อยมาก โดยตัวรถจะได้รับกระจังหน้าใหม่พร้อมชุดไฟหน้า LED ประสิทธิภาพสูงที่ปรับปรุงทัศนวิสัยด้านหน้าในตอนกลางคืน การเปลี่ยนแปลงที่ฝากระโปรงหน้าจะมีส่วนนูนเล็กๆ ที่อาจจำเป็นสำหรับสำหรับการติดตั้งระบบ RSG boost หรือมีไว้เพื่อรูปลักษณ์เท่านั้น
ในรุ่น GLB รุ่นใหม่จะมีรูปทรงดั้งเดิมกว่า มาพร้อมกับกระจังหน้าที่คล้ายกัน ไฟท้าย LED ชุดใหม่ และล้อดีไซน์ใหม่ทั้งขนาด 18 และ 20 นิ้ว และตัวเลือกสีใหม่ สำหรับทั้ง GLA และ GLB ในสีน้ำเงิน Spectral Blue Metallic
ภายในครอสโอเวอร์ทั้งสองคัน การตกแต่งภายในได้รับประโยชน์จากการออกแบบพวงมาลัยล่าสุดของ Mercedes และใช้จอแสดงผลขนาด 10.25 นิ้วแบบคู่ สำหรับแผงหน้าปัดและหน้าจออินโฟเทนเมนท์ซึ่งมีระบบอินโฟเทนเมนต์ MBUX เวอร์ชันล่าสุดพร้อม Apple CarPlay แบบไร้สายและ การเชื่อมต่อ Android Auto คุณสมบัติมาตรฐานเช่น High Beam Assist แพ็คเกจจอดรถพร้อมระบบกล้องมองภาพ 360 องศาและภาพ 3 มิติ แพ็คเกจกระจก และแพ็คเกจ Keyless GO มาพร้อมกับเทคโนโลยีมาตรฐาน ADAS ที่อัพเกรดใหม่ล่าสุด เช่น ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถพร้อมการบังคับเลี้ยวแบบแอคทีฟ Burmester พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos เป็นอุปกรณ์เสริม
ในขณะที่การติดตั้งเครื่องยนต์ของทั้ง 2 รุ่นจะเลือกใช้งานเครื่องยนต์ 4 ลูกสูบเรียง เทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตร โดยมีระบบ RSG boost เป็นตัวช่วยในการขับกำลังเครื่องยนต์อีก 13 แรงม้า (hp) ทำให้ตัวรถมีกำลังสูงสุด 221 แรงม้า (hp) พร้อมกับแรงบิดสูงสุด 258 Ib-Ft
สำหรับการแบ่งสัดส่วนเกรดของตัวรถนั้น Mercedes-Benz GLA และ GLB จะเริ่มที่รหัส 250 เป็นรุ่นมาตฐานมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และรุ่น 250 4 Matic ที่มาพร้อมกับระบบจับเคลื่อนสี่ล้อ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกประสิทธิภาพสูง AMG ที่มาพร้อมกับรหัส GLA35 และ GLB35 ทั้งคู่มีการปรับปรุงและอัพเกรดทั้งภายนอกและภายในที่คล้ายคลึงกัน และจะมีเกรดสูงสุด 35s ที่อัพกำลังเครื่องยนต์ให้เป็น 302 แรงม้า (hp)
ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องของราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่สื่อยานยนต์ฝั่งอเมริกาได้เปิดเผยว่าตัวรถจะถูกวางจำหน่ายในประเทศช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ แต่น่าเสียดายที่ AMG GLA45 และ GLB45 ที่ทรงพลังกว่า จะไม่เข้าร่วมกับการทำตลาดในปีนี้ แต่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดยุโรปมากกว่า
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motortrend.com
[adsforwp id=”1302″]