เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Great Wall Motors ได้ปล่อยภาพตัวอย่างใหม่อย่างเป็นทางการของ Haval H5 โมเดลเอสยูวีขนาดใหญ่ใหม่ล่าสุด ซึ่งทางผู้ผลิตเองได้เปิดเผยว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ในประเทศจีน
[adsforwp id=”1302″]
Haval H5 จัดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบเอสยูวีที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่ทางค่ายผลิตออกมา โดยตัวรถจะมีขนาด 5190/1905/1835 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3140 มิลลิเมตร ซึ่งนับว่ามีขนาดที่เทียบเท่าเอสยูวีขนาด Full Size ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดอเมริกา แต่ตัวรถจะมีจุดเด่นที่แตกต่างด้วยน้ำหนักตัวที่เบาเพียง 2.12 ตัน เท่านั้น
[adsforwp id=”1302″]
โดยหลักแล้ว Haval H5 รุ่นก่อนหน้า จะเป็นรถเอสยูวีที่ถูกจัดให้อยู่ในขนาดกะทัดรัด และอยู่ในตลาดของ C segment ซึ่งจะใช้แพลตฟอร์มของ pickup ของทางค่าย โดยจะแชร์แพลตฟอร์มร่วมกับ P Series ทำให้รูปลักษณ์ของมันมีแนวโน้มไปในทางออฟโรดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โมเดลดังกล่าวถูกยกเลิกในปี 2018 เนื่องจากยอดขายที่ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก และหลังจากนั้น 5 ปี Haval H5 ได้รับการรีแบรนด์ใหม่เป็นรถขนาดใหญ่ของทางค่าย
ด้านรูปลักษณ์ด้านหน้ามีกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ประดับแถบโครเมียมชุบแนวนอนหนา 2 เส้น ทำให้ดูบึกบึน หลังคาช่วยเสริมให้รถมีกลิ่นอายแบบฮาร์ดคอร์ออฟโรดมากขึ้น ด้านหลังใช้รูปทรงสี่เหลี่ยมและมีไฟเบรกแบบติดตั้งสูงเช่นเดียวกับกลุ่มไฟท้ายแนวตั้งที่เชื่อมต่อด้วยแถบตกแต่งสีดำ ภายในห้องโดยสาร เผยให้เห็นพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสามก้าน แผงหน้าปัด LCD เต็มรูปแบบ และหน้าจอควบคุมส่วนกลางแบบลอยตัว
จากข้อมูลที่เราได้มานั้น Haval H5 จะมีขุมกำลังหลักจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 เทอร์โบ ที่ให้กำลัง 122 แรงม้า (kw) และมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบ ที่ให้กำลัง 145 แรงม้า (kw) และ 165 แรงม้า kw มีระบบขับเคลื่อนหลักเป็นแบบ 2WD และคาดว่าจะมีตัวเลือกระบบขับเคลื่อนแบบ AWD เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับรถ นอกจากนี้ Haval H5 อาจมีรุ่นไฮบริดสำหรับผู้บริโภคให้เลือก โดยขับเคลื่อนโดยระบบ Hi4 PHEV ของ GWM
อย่างไรก็ดี ทางผู้ผลิตเปิดเผยว่า ตัวรถจะพร้อมสำหรับการเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ซึ่งสื่อในประเทศจีนคาดเดากันว่าน่าจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม และจะพร้อมสำหรับการสั่งจองล่วงหน้าทันที และคาดว่าตัวรถจะพร้อมส่งถึงมือผู้จองล็อตแรกก่อนสิ้นปี 2023 นี้ ราคาคาดว่าจะอยู่ในช่วง 120,000 – 150,000 หยวน หรือประมาณ 578,335 – 722,920 บาท โดยประมาณ ส่วนการทำตลาดนอกประเทศจีนนั้น ยังไม่ปรากฏแผนงาน แต่คาดว่าจะมีการทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซี่ยน โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก carnewschina.com
[adsforwp id=”1302″]