จากที่มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยในประเทศญี่ปุ่น สำหรับ All New Honda Vezel หรือในประเทศไทยจะเป็นรุ่น All New HR-V ซึ่งมันมีการปรับโฉมใหม่ทั้งคัน โดยในบทความนี้เราจะขอพาทุกๆ ท่านไปชมรายละเอียดที่แตกต่างกันของทั้ง 4 เกรดของเจ้าโมเดลใหม่นี้ (อ้างอิงจากสเปคในญี่ปุ่น) ว่ามันจะมีความต่างกันมากน้อยเพียงใดในแต่ละรุ่น
[adsforwp id=”1302″]
มาเริ่มกันที่รุ่นเริ่มต้นอย่างรุ่นเครื่องยนต์สันดาปล้วน All New Honda HR-V “G” มีตัวเลือกย่อยสองรุ่นตามรูปแบบของระบบขับเคลื่อน โดยรุ่น 2WD จะมีราคาจำหน่ายแบบรวมภาษีในประเทศที่ 2,279,200 เยน หรือประมาณ 657,200 บาท และรุ่น 4WD ราคาแบบรวมภาษีที่ 2,499,200 เยน หรือราวๆ 720,63 บาท โดยจะมีการติดตั้งระบบพื้นฐานด้านความปลอดภัย Honda SENSING ระบบเซนเซอร์ช่วยจอด ระบบไฟ LED รอบคันรวมถึงระบบไฟ DRL ก็จะเป็นแบบ LED ที่มีระบบ Auto Light Control เปิดและปิดการทำงานของระบบไฟหน้าเองอัตโนมัติ ระบบ Agile Handling System ระบบช่วยประคองพวงมาลัย ระบบ Hill Descent Control ระบบช่วยเหลือยามขึ้นทางชัน ระบบกระจายแรงเบรก CMBX ระบบการปรับช่วงล่างและความหนืดพวงมาลัยอัตโนมัติตามรูปแบบพื้นผิวของถนน ระบบ Adaptive Cruise Control ระบบ LKAS ช่วยเหลือในการรักษาช่องทางการเดินรถ และการเข้าออกจากเลนท์ ระบบไฟสูงอัตโนมัติ และระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร
[adsforwp id=”1302″]
ในส่วนของการเชื่อมต่อตัวรถกับสามาร์ทโฟนและอุปกรณ์ภายในนั้น ตัวรถจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 9 นิ้ว พร้อมระบบ Honda CONNECT + ETC2.0 ระบบนำทางผ่านดาวเทียมออนบอร์ด พร้อมกับตัวเลือก Special Package สำหรับการนำทางแบบ Turn by Turn ชุดเครื่องเสียงแบบ 4 ลำโพง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ โดยที่รุ่น 4WD จะติดตั้งเบาะนั่งปรับอุณหภูมิที่คู่หน้า และแท่นชาร์จอุปกรณ์พกพาแบบไร้สาย
ขยับมาที่รุ่นต่อมากับ All New Honda HR-V “e:HEV X” รุ่นเครื่องยนต์ปลั้กอินไฮบริด ที่จะมีแยกเป็นสองรุ่นย่อยเช่นเดียวกับรุ่น “G” รุ่นขับเคลื่อน 2WD ราคา 2,658,700 เยนแบบรวมภาษี หรือประมาณ 774,678 บาท และรุ่น 4WD ราคา 2,878,700 เยน หรือประมาณ 830,350 บาท โดยมีอุปกรณ์ความปลอดภัยเหมือนกับรุ่น “G” แต่ได้เพิ่มระบบ Vehicle Approach Notificaton Device ช่วยแจ้งเตือนความผิดปกติเบื้องต้นให้กับผู้ขับขี่ และมีการเพิ่มโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ Normal, Sport และ ECO โดยที่เบาะนั่งปรับอุณหภูมิจะมีเฉพาะในรุ่น 4WD และยังมีตัวเลือกระบบ PTC Heater เฉพาะรุ่น 4WD ด้วยเช่นกัน
ในส่วนของภายในห้องโดยสารนั้นจะเหมือนกับรุ่น “G” โดยที่จะเพิ่มในส่วนของฟิลม์กรองแสงที่มีความสามารถในการกรองอุณหภูมิและป้องกัน UV โดยที่รุ่น 4WD จะมีตัวเสริมเป็นกระจกไล่ฝ้าอัตโนมัติทั้งด้านหน้า ด้านหลังและกระจกมองข้าง รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่เพิ่มตัวระบบเบรกอิเล็กทรอนิกส์ Electric Servo Brake System และตัวช่วยเปลี่ยนเกียร์แบบ Paddle Shift เสริมเข้ามา
ต่อกันที่ All New Honda HR-V “e:HEV Z” รุ่นรองท๊อปของซีรี่ส์ ที่ยังคงมีสองรูปแบบย่อยๆ ตามระบบขับเคลื่อน ทั้ง 2WD ในราคา 2,898,500 เยน หรือราวๆ 835,685 บาท และรุ่น 4WD ราคา 3,118,500 เยน หรือประมาณ 898,946 บาท โดยจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานเหมือนกับ “e:HEV X” แต่จะเสริมในส่วนของระบบ Blind Spot Information แจ้งเตือนจุดอับสายตา และระบบ Multi-View Camera กล้องมองภาพรอบคัน ในส่วนภายในก็ไม่แตกต่างจาก “e:HEV X” แต่จะมีการปรับชุดเครื่องเสียงเป็นแบบ 6 ลำโพง และตัวเลือกชุดเครื่องเสียงแบบพรีเมี่ยม 10 ลำโพง เพิ่มช่องปรับอากาศพื้นที่โดยสารเบาะหลังพร้อมช่องเสียบชาร์จไฟแบบ USB 2 ช่อง โดยมีตัวเลือกเบาะนั่งทั้งแบบผ้าเหมือนกับรุ่นก่อนหน้าและตัวเลือกเบาะนั่งหนังสีดำ ส่วนภายนอกนั้นประตูคู่หน้าจะติดฟิลม์แบบกันน้ำเกาะ กระจกมองข้างจะมีการติดตั้งสัญญาณไฟเลี้ยวในตัว กันชนหน้าหลังจะเป็นสีที่ต่างออกไปจากตัวถัง วงล้อขนาด 18 นิ้ว เพิ่มเข้ามา
ส่วนรุ่นท๊อปอย่าง All New Honda HR-V “e:HEV Play” นั้นจะมีเพียงรุ่นเดียวตามระบบขับเคลื่อนแบบ 2WD ในราคาจำหน่ายแบบรวมภาษีที่ 3,298,900 เยน หรือประมาณ 948,662 บาท โดยมีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเหมือนกับรุ่น “e:HEV X” แต่จะเสริมในเรื่องของระบบ Backward Delivery Support ภายในห้องโดยสารจะมาพร้อมกับชุดเครื่องเสียงแบบ 8 ลำโพงและตัวเลือกเครื่องเสียงระดับพรีเมี่ยม 10 ลำโพง โดยมีเบาะนั่งแบบปรับอุณหภูมิคู่หน้าติดตั้งมาให้ ช่องแอร์ปรับอากาศด้านหลังพร้อมช่องเสียบชาร์จไฟแบบ USB 2 ช่อง แท่นชาร์จไร้สาย เบานั่งแบบผ้าใยสังเคราะห์และตัวเลือกเบาะนั่งหนังสังเคราะห์สีเทากันน้ำ การตกแต่งภายในจะใช้ชุดสี Piano Black ส่วนภายนอกนั้นจะใช้ฟิลม์กระจกแบบเคลือบกันน้ำกันความร้อนและ UV ระบบประตูหลังไฟฟ้าพร้อมรีโมทบนกุญแจ วงล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้วพร้อมกับลายสปอร์ตที่แตกต่างจากทุกๆ เกรดก่อนหน้านี้
ส่วนประเทศไทยเราคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปี 2021 นี้จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หากมีความคืบหน้าทางเราจะรีบมาอัพเดทให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน
Credit : creative311.com response.jp
[adsforwp id=”1302″]