สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของทาง Mercedes-Benz กับเจ้ารถยนต์สุดหรู EQS นั้นถูกตั้งเป้าหมายไว้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Tesla Model S ด้วยคุณสมับติหลายๆ อย่างที่เหนือกว่า และการมาถึงของโมเดลในปี 2022 นั้นก็จวนเจียนที่จะคลอดโมเดลนี้ออกมาแล้ว ซึ่งเราจะขอพาท่านผู้อ่านไปดูถึงภายในห้องโดยสารของเจ้า EQS ว่ามันจะหรูกันขนาดไหน
[adsforwp id=”1302″]
สิ่งแรกที่สะดุดตาเป็นอย่างมากคือ หน้าจอสัมผัส สามจอที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “Hyperscreen” ความยาวของจอรวมกันที่ยาวถึง 56 นิ้ว ประกอบไปด้วยจอแสดงผลแบบไวต่อการสัมผัสแบบ OLED ขนาด 12.3 นิ้วหลังพวงมาลัย เท่ากับขนาดจอด้านขวาที่ติดตั้งอยู่ตรงหน้าผู้โดยสาร โดยที่จอตรงกลางจะเป็นจอ infotainment ขนาด 17.7 นิ้ว ใหญ่โตแสดงผลการควบคุมระบบสาระบันเทิง ระบบปรับอากาศ บนตัวรถ อีกทั้งหน้าจอทั้งสามยังมาพร้อมกับระบบปรับแสงสว่างแบบอัตโนมัติเพื่อไม่ให้รบกวนสายตาของผู้ขับขี่ ผ่านระบบกล้องมองภาพที่หันเข้าสู่ห้องโดยสาร โดยแยกการทำงานกับกล้องหน้ารถอย่างอิสระ
Hyperscreen จะเชื่อมต่อกับคอนโซลโค้งตรงกลางพร้อมด้วยพื้นที่เก็บของด้านล่าง และระบบควบคุมแบบสัมผัสที่ไวต่อการสัมผัสมากขึ้นสำหรับโหมดการขับขี่และระบบควบคุมต่างๆ เบาะนั่งคู่หน้าจะมาพร้อมกับระบบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติและระบบนวดผ่อนคลายสำหรับการเดินทางไกล กล้องเหนือศีรษะพร้อมด้วยเซ็นเซอร์วัดแสงและอุณหภูมิสามารถทำงานร่วมกับการตั้งค่ารถยนต์เพื่อคาดเดาอารมณ์ระดับสมาธิและการตื่นตัวพร้อมกับให้คำแนะนำสำหรับการขับขี่ที่ปลอดภัยภายใต้อารมณ์ของผู้ขับที่เป็นอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ
ตัวรถจะมาพร้อมกับซอฟแวร์ปฎิบัติการ MBUX รุ่นใหม่และเต็มไปด้วยคุณสมบัติต่างๆ พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการสั่งการด้วยเสียง ด้วยการเปิดคำสั่ง “Hey Mercedes” ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เข้าใจสำเนียงจากระดับน้ำเสียงที่แตกต่างกัน รวมไปถึงการศึกษากิจวัตรของผู้ขับขี่และแนะนำทุกอย่างตั้งแต่การปรับเบาะที่นั่งไปจนถึงเครื่องปรับอากาศ พร้อมกับการจดจำและบันทึกปฎิทินนัดหมายล่วงหน้าผ่านการออกคำสั่งด้วยเสียง หรือบันทึกจากการโทรศัพท์ นอกจากนี้ยังแสดงการควบคุมฟังก์ชั่นรถเฉพาะ เช่นการจดจำตำแหน่งผ่านฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ บนตัวรถ การใช้ความเร็ว ตำแหน่งการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ รวมไปถึงการปรับสู่โหมดขึ้นที่ลาดชัน หรือปรับโหมดอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งกีดขวางอยู่ด้านหน้า
[adsforwp id=”1302″]
ไม่เพียงเท่านี้ การมีหน้าจอ “Hyperscreen” ที่มีคุณสมบัติที่น่าใช้งานแล้ว ตัวรถยังมาพร้อมกับหน้าจอ HUD (Head Up Display) ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ S-Class เพื่อฉายภาพระยะการมองเห็นขนาด 77 นิ้วบนกระจกด้านหน้าคนขับ เพื่อไม่ให้ผู้ขับล่ะสายตาออกจากถนน
ระบบเครื่องเสียงภายในจะมาจากแบรนด์ Burmester 15 ลำโพง 710 วัตต์ซึ่งสามารถขับเสียงเพลงจากบริการเพลงสตรีมมิ่งผ่าน MBUX โดยทางผู้ผลิตกล่าวว่า นอกจากนี้ยังสามารถเล่นเสียงที่ผ่อนคลายอย่างเสียงธรรมชาติของฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว หรือเสียงในป่าลึกได้เหมือนจริงถึง 99%
ในส่วนของระบบปรับอากาศนั้น EQS เองก็จะได้รับน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นพิเศษ เหมือนกับที่ใช้ในรถยนต์ระดับ Hi-End ของทางค่าย แต่จะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไม่เหมือนใครนอกจากนี้ยังมีตัวกรอง HEPA ที่ได้รับการรับรองว่าสามารถกำจัดอนุภาคในอากาศได้มากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์รวมถึงไวรัส 86 เปอร์เซ็นต์และแบคทีเรีย 90 เปอร์เซ็นต์
มาถึงตัวเลือกสำหรับเบาะที่นั่ง โดยที่ตัวรถนั้นจะมาพร้อมกับเบาะที่นั่งมาตรฐานที่ติดตั้งตัวปรับอุณหภูมิและระบบนวดไฟฟ้า ที่เบาะนั่งคู่หน้า พร้อมกับการปรับตำแหน่งด้วยระบบไฟฟ้า 16 ทิศทาง โดยมีตัวเลือกพิเศษเป็นเบาะที่นั่งแบบสปอร์ต AMG Line ที่มาพร้อมกับแผงภายในที่ออกแบบในทิศทางเดียวกัน โดยมีให้เลือกย่อยเกี่ยวกับวัสดุทั้งหนังแท้และหนังสังเคราะห์ก็มีให้เลือกตามความชื่นชอบของผู้ขับขี่
Mercedes-Benz EQS มีระบบเสียงสังเคราะห์ให้เลือกใช้งานได้สองรูปแบบ ประกอบไปด้วย Silver Waves และ Vivid Flux ที่จะส่งเสียงแบบสังเคราะห์ เพื่อช่วยกลบจุดอ่อนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มักจะทำงานที่เงียบจนเกินไป ทำให้ผู้สัญจรรอบข้างไม่ทราบได้ถึงยานพาหนะที่เข้ามาใกล้ โดยผู้ซื้อสามารถดาวน์โหลดโปรไฟล์เสียงในรูปแบบที่สาม Roaring Pulse เพิ่มได้ด้วยการอัพเดตแบบ Over-The-Air โดยการทำงานของระบบนั้นจะอิงจากการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้าและสังเคราะห์เสียงออกมาในรูปแบบ Real-Time ทำให้ระดับเสียงนั้นมีความใกล้เคียงกับการทำงานของรถยนต์ในทุกๆ ย่านความเร็ว อีกทั้งผู้ที่ชอบขับขี่แบบเงียบๆ ก็สามารถปิดการทำงานของระบบนี้ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
สำหรับตัวจริงของ Mercedes-Benz EQS นั้นคาดว่าทางผู้ผลิตจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยจะเป็นโมเดลสำหรับการจำหน่ายในปี 2022 และโมเดล EQS นั้นจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ S-Class สำหรับตลาดรถยนต์ในอนาคตอีกด้วย ตัวจริงจะสวยเหมือนในรูปหรือไม่ เราคงต้องติดตามกันต่อไป
Credit : www.motortrend.com
[adsforwp id=”1302″]