เรียกได้ว่าเป็นการประกบคู่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ที่มีกำหนดการเปิดตัวโมเดล SIV ขนาดใหญ่อย่าง Ford Everset ในวันที่ 1 มีนาคมที่จะถึงนี้ แต่ล่าสุด ทางผู้ผลิตจากมิชิแกน ก็ได้ปล่อยวิดีโอโปรโมทรถปิ๊คอัพรุ่นใหม่อย่าง 2023 Ford Ranger Raptor ที่ใช้แพลตฟอร์มร่วมกันกับ Everset และเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย เหมาะสมกับคำว่า “Next Genneration” เป็นอย่างมาก
[adsforwp id=”1302″]
ก่อนอื่นเลยเราขอพาไปดูหัวใจหลักของตัวรถ ที่จะมาพร้อมกับขุมกำลังเบนซิน EcoBoost V6 ขนาด 3.0 ลิตร ที่ยกชุดมาจาก Bronco Raptor มีความสามารถ 397 แรงม้า (PS) ที่ 5,650 รอบต่อนาที พร้อมกับแรงบิดมหาศาล 583 นิวตันเมตร โดยใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 3,500 รอบต่อนาที ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าตัวเลขนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร EcoBlue ที่ให้กำลัง 213 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรจากรุ่นก่อนหน้า
ขุมกำลัง V6 ใหม่ มีการเลือกใช้บล็อกกระบอกสูบที่ผลิตจากเหล็กกราไฟท์อัดแน่น ซึ่งทางผู้ผลิตกล่าวว่าแข็งแกร่งกว่าชุดเดิมถึง 75% ระบบเทอร์โบจะมีการจัดการกับระบบป้องกันความหน่วงที่ถ่ายทอดมาจากสนามแข่ง เพื่อให้แน่ใจว่ามีการส่งมอบที่รวดเร็วตามความต้องการ โดยมีการกล่าวเสริมว่า ในโหมด Baja ที่จะเป็นการขับขี่แบบ Off-Road ระบบเทอร์โบจะยังคงหมุนต่อเนื่อง 3 วินาที ถึงแม้ว่าผู้ขับขี่จะถอนคันเร่งจากเท้าแล้วก็ตาม ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่แบบ Off-Road นั้นสูงขึ้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังต่อเนื่องความเร็วของตัวรถได้อย่างราบลื่นกว่าเดิม
Dave Burn หัวหน้าวิศวกรของ Ford Performance ของ Ranger Raptor กล่าวว่ารถรุ่นใหม่ จะเร็วขึ้นอย่างมาก โดยผสมผสานขุมพลังดิบเข้ากับความเที่ยงตรงเชิงกลไกและทางเทคนิค เพื่อสร้าง Ranger ที่ล้ำหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยจากการทดสอบในสนามความยาว 10 กิโลเมตร Ranger Raptor รุ่นใหม่ทำเวลาได้ดีกว่ารุ่นเก่าถึง 1 นาที
[adsforwp id=”1302″]
นอกเหนือจากเครื่องยนต์ใหม่แล้ว ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 10 สปีด ก็ถูกปรับปรุงใหม่ เพื่อให้แต่ละเกียร์มีโปรไฟล์บูสต์ของตัวเอง โหมดการขับขี่บนถนนที่เลือกได้ ได้แก่ Normal, Sport และ Slippery ในขณะที่โหมด off-road ประกอบด้วย Rock Crawl, Sand, Mud และ Ruts รวมไปถึงโหมดพิเศษอย่าง Baja ที่ยกการปรับจูนมาจากการแข่งขัน Off-Road โดยตรง
ในขณะที่ระบบวาล์วไอเสียแบบ Active ที่เป็นจุดเด่นของ Bronco Raptor ก็ถูกยกมาใส่ใน Ranger Raptor ด้วยเหมือนกัน โดยสามารถเลือกปรับโปรไฟล์เสียงได้ถึง 4 รูปแบบ Quiet, Normal, Sport และ Baja โดยสามารถเลือกได้ผ่านปุ่ม “R” บนพวงมาลัย ตามที่ Ford กล่าว ท่อไอเสียจะทำงานเหมือนระบบ “straight-through” ในโหมด Baja แต่มีไว้สำหรับการใช้งานแบบออฟโรดเท่านั้น
ในส่วนของแชสซีนั้น มีการปรับปรุงอย่างมาก ด้วยฐานยึดที่เป็นเอกลักษณ์และการเสริมโครงสร้าง แม้แต่โช้คทาวเวอร์และขายึดโช้คหลังก็ยังแข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้าเพื่อรับมือกับภาระแรงเสียดทานจากการทำงานอย่างสูง ระบบกันสะเทือนได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดด้วยแขนควบคุมด้านบนและด้านล่างอลูมิเนียมน้ำหนักเบา โช้ค Fox แบบปรับได้ โดยจะเป็นโช้คอัพ Live Valve Internal Bypass ขนาด 2.5 นิ้วล่าสุดที่มีน้ำมันหล่อลื่น และสารเคลือบเทฟลอนซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานได้ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับ Raptor รุ่นก่อน โช้คเหล่านี้เป็นชิ้นส่วนที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน Ranger
คุณลักษณะการเด้งกลับ อัตราสปริง ความสูงของรถ และการปรับวาล์วทั้งหมดได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีที่สุดระหว่างสมรรถนะบนถนนและทางวิบาก โดยมีระบบช่วยเหลือที่พัฒนาโดย Fox อย่าง ระบบ Bottom-Out Control แบบก้าวหน้าของ Fox ป้องกันไม่ให้ปิ๊กอัพเกิดอาการเด้งสะท้อน ในขณะที่มีการเปลี่ยนอัตราเร่งในช่วงเสี้ยววินาที ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวรถ
นับว่าเป็นครั้งแรกที่ Ranger Raptor จะได้รับ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ electronically controlled two-speed transfer เพลาทั้งสองยังได้รับล็อกเฟืองท้าย บวกกับระบบควบคุมการทำงานใหม่ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แต่สำหรับการขับขี่แบบออฟโรด จะมีคุณสมบัติในการรักษาความเร็วสูงสุด 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในแง่ของการออกแบบ Ranger Raptor จะมาพร้อมกับฝากระโปรงหน้ามีช่องระบายอากาศ ตัวอักษร Ford ที่กระจังหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น และซุ้มล้อเปิดออกเพื่อรองรับล้อขนาด 17 นิ้วที่กว้างขึ้น พร้อมยาง BF Goodrich KO2 ขนาด 33 นิ้ว โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์พร้อมไฟเลี้ยวแบบไดนามิก ด้วยรูปทรง C-clampedไฟท้าย LED ตลอดจนบันไดข้างอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปที่ออกแบบใหม่ มีการป้องกันใต้ท้องรถที่จริงจังที่ผลิตจากแผ่นเหล็กกล้าหนา 2.3 มิลลิเมตร ซึ่งจะช่วยปกป้องส่วนประกอบหลัก เช่น หม้อน้ำ ระบบบังคับเลี้ยว ชิ้นส่วนด้านหน้า อ่างน้ำมันเครื่อง และเฟืองท้ายด้านหน้า
ภายใน Raptor นั้นติดตั้งของเล่นใหม่ล่าสุดทั้งหมด เช่น หน้าจอแสดงผลดิจิตอลขนาด 12.4 นิ้ว หน้าจอส่วนกลางขนาด 12 นิ้วแบบสัมผัส พร้อมการเชื่อมต่อ SYNC 4Aระบบไร้สาย Apple CarPlay และ Android Auto เป็นมาตรฐานระบบเสียงระดับพรีเมียมของ Bang & Olufsen และระบบ E-Brake เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พวงมาลัยสปอร์ตหนังเกรดพรีเมียมพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์แมกนีเซียมและตราสัญลักษณ์ Raptor ที่ด้านล่าง เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินขับไล่ F22 และเน้นสี Code Orange โดยรอบ
น่าเสียดายที่ทางผู้ผลิต ยังไม่มีการออกมาประกาศระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ณ ตอนนี้ แต่สื่อหลายสำนักคาดเดาว่ารถรุ่นใหม่นี้ได้รับการออกแบบโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมาตรฐานระดับสูงในเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ คาดว่าจะมีการขับขี่แบบ Autonomous Lv2 เป็นอย่างน้อย
ยังไม่มีประกาศเกี่ยวกับการวางจำหน่าย เกรดย่อย หรือราคาเปิดตัว ณ ตอนนี้ แต่คาดว่าทาง Ford น่าจะมีการประกาศราคาและรายละเอียดต่างๆในช่วงหลังจากการเปิดตัว Ford Everest ในวันที่ 1 มีนาคมนี้ หรืออย่างช้าที่สุดก็จะเป็นเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ก่อนการจำหน่ายจริงจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ปีนี้
Credit : paultan.org
[adsforwp id=”1302″]