Mercedes-Benz ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติเยอรมัน ได้ทำการเปิดเผยข้อมูลและรูปภาพชุดใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่จะใช้เป็นตัวซีรี่ส์เริ่มต้นของรูปแบบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า กับซีรี่ส์ EQE ซึ่งเป็นรถซีดานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ที่จัดว่ามีราคาที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุดของบริษัท
[adsforwp id=”1302″]
โดยเจ้า EQE นั้นจะเป็นเหมือนกับแฝดกับ EQS ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ แต่จะมีบางอย่างที่แตกต่างกัน โดยสิ่งที่จะเห็นได้ชัดที่สุดคือขนาด โดย EQE จะมีความยาวที่สั้นกว่า EQS ไปราวๆ 90 มิลลิเมตร และสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของ EQS อย่างกระจังหน้าโครเมียมแนวตั้งที่จะประดับตราดวงดาวที่เป็นตราสัญลักษณ์ของแบรนด์จะถูกลบออกไป
ถึงแม้ว่าระยะตัวรถจะสั้นกว่า EQS แต่ EQE เองอาจหลอกผู้ดูให้คิดว่ามันเป็นรุ่นที่มีราคาแพงกว่าได้ ด้วยห้องโดยสารที่ยาวกว่า E-Class รุ่นเบนซิน และยังมีพื้นที่ท้ายรถที่สามารถใส่สัมภาระได้มากถึง 110 ลิตร ซึ่งจัดว่าที่สุดคันหนึ่งจากรถในรูปแบบสี่ประตูจากทางผู้ผลิต
เข้าไปดูห้องโดยสาร เราจะเห็นได้ถึงความเชื่อมโยงกันระหว่าง EQE และ EQS เราเห็นหน้าจอสำหรับคนขับขนาด 12.3 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการขับขี่ หน้าจอสัมผัสระบบ Infotainment ขนาด 13 นิ้วตรงกลาง นอกจากนี้ยังมี Hyper Screen แบบเต็มความกว้าง พร้อมการควบคุมเฉพาะสำหรับผู้โดยสารเพื่อป้องกันไม่ให้คนขับเสียสมาธิ ซึ่งจะเป็นตัวเลือกเสริมในราคาพิเศษ
[adsforwp id=”1302″]
สำหรับ 2023 Mercedes-Benz EQE จะมีให้เลือกกัน 2 รูปแบบ ประกอบด้วย EQE 350 ที่จะมาพร้อมกับมอเตอร์เดี่ยว ให้กำลัง 288 แรงม้า (HP) และแรงบิด 391 Ib-ft ที่ล้อหลังและชุดแบตเตอรี่ขนาด 90 kWh สามารถวิ่งได้ไกล 654 กิโลเมตร จากการทดสอบ WLTP และรุ่น EQE 500 ที่จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้กำลัง 402 แรงม้า (HP) มีคุณสมบัติในการเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมค์ต่อชั่วโมง (0- 92 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในเวลา 5.6 วินาที โดยทางผู้ผลิตไม่มีการระบุระยะทางในการวิ่งของ EQE 500 ในข้อมูลแต่อย่างใด
มาถึงเรื่องของราคา เราขอพาไปดูราคาของ EQS กันก่อน ในรุ่นเริ่มต้นนั้น EQS จะมีราคาจำหน่ายที่ 103,828 ยูโร แบบรวมภาษี หรือประมาณ 3.77 ล้านบาท แต่สำหรับ 2023 Mercedes-Benz EQE ที่จะเริ่มต้นในรุ่น 350 นั้นจะมีราคาจำหน่ายเพียง 70,627 ยูโร หรือประมาณ 2.57 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีช่องว่างของราคาที่ห่างกันพอสมควรแต่กลับมีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
นี้อาจจะทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน ที่จะตอบโจทย์การใช้งานที่คุ้มค่าด้วยเทคโนโลยีการขับขี่และความปลอดภัยระดับสูง สำหรับประเทศไทยนั้น เราคงต้องมารอดูกันว่า เราจะเข้าสู่การเปลี่ยนถ่ายได้ในช่วงเวลาใด และการสนับสนุนของภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้หรือไม่
Credit : www.carscoops.com
[adsforwp id=”1302″]