หลังจากเปิดตัวมาตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา สำหรับรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็กอย่าง 2022 Kia Niro ทางผู้ผลิตจากประเทศเกาหลีใต้ก็ได้นำเสนอข้อมูลของรุ่นย่อยในตระกูลที่จะเป็นผลิตภัณฑ์แบบ PHEV หรือปลั๊กอินไฮบริด และตัว HEV หรือพลังงานไฟฟ้าล้วน อย่างเป็นทางการ
[adsforwp id=”1302″]
โดยเจ้า 2023 Kia Niro “PHEV” นั้นจะมีความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานเล็กน้อย โดยจะยังคงเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร แบบเดียวกับที่ติดตั้งบนตัวรถมาตรฐาน แต่จะเปลี่ยนชุดเกียร์ใหม่เป็นแบบ DCT 6 สปีด และมีความพิเศษที่จะไม่มีชุดเกียร์สำหรับการถอยหลัง โดยจะเปลี่ยนการถอยหลังทั้งหมดเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดน้ำหนักตัวรถลงไปได้ 2.3 กิโลกรัม
โดยมอเตอร์ที่จะติดตั้งควบคู่ไปกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน จะเป็นมอเตอร์ขนาด 62 Kw ที่จะเป็นทั้งระบบถอยหลัง และตัวช่วยในการเสริมกำลัง ทำให้ตัวรถจะมีกำลังที่มากกว่ารุ่นมาตรฐาน 41 แรงม้า (HP) ซึ่งจะเท่ากับ 180 แรงม้า (HP) โดยจะมีการติดตั้ง High-Volt Positive Temperature Coefficient Heater แรงดัน 5.5 kWh สำหรับการรีชาร์จไฟไปเก็บที่แบตเตอรี่ได้เอง และเสริมความพิเศษด้วยเทคโนโลยี PTC ที่ช่วยจัดการกับการทำงานในสภาพอากาศที่เย็นจัด
มาถึงเรื่องของแบตเตอรี่ Niro “PHEV” จะติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 11.1 KWh ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้า ที่จะมีแบตเตอรี่ขนาด 8.9 kWh โดยจะสามารถวิ่งทำระยะด้วยกำลังไฟฟ้าได้ 65 กิโลเมตร จากการทดสอบมาตรฐาน WLTP
[adsforwp id=”1302″]
ในส่วนของ 2023 Kia Niro “EV” นั้นจะมีการติดตั้งมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตร โดยจะมีคุณสมบัติในการเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 7.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 167 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 64.8kWh สามารถวิ่งทำระยะได้ 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง จากการทดสอบ WLTP ส่วนเรื่องการชาร์จไฟนั้น บนสถานี DC แบบ Fast Charge จะใช้เวลาในการชาร์จไฟจาก 0-80% ในเวลา 43 นาที
ในส่วนของงานออกแบบนั้น ทั้งสองโมเดลจะมีความใกล้เคียงกับ โดยจะมีความแตกต่างกันที่ Niro “EV” จะใช้กระจังหน้าแบบปิดและมีพื้นที่สำหรับการบรรจุสัมภาระที่แตกต่างกัน หากเราพับเบาะนั่งแถวที่สองลงในรุ่น PHEV จะได้พื้นที่เก็บของ 348 ลิตร ส่วนรุ่น EV จะมีพื้นที่ 451 ลิตร ซึ่งจะมากกว่า
สำหรับการจำหน่ายน้ัน Kis Niro ทั้งรุ่น “PHEV” และ “EV” จะเริ่มจำหน่ายในทวีปยุโรปก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตลาดอันดับสองอย่างอเมริกา ส่วนประเทศในภูมิภาคอื่นๆก็ต้องติดตามข่าวสารจากผู้ผลิตอีกครั้ง
Credit : www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]