เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยสำหรับโมเดล SUV รุ่นใหม่จากผู้ผลิตสัญชาติอเมริกัน กับเจ้า 2023 Dodge Hornet โดยเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Compact SUV ที่มีการแข่งขันที่สูงมากในตลาดอเมริกา ที่ปัจจุบันมี Honda CR-V และ Toyota RAV4 ถือครองสัดส่วนทางการตลาดอยู่เป็นจำนวนมาก
[adsforwp id=”1302″]
2023 Dodge Hornet ถูกพัฒนาขึ้นด้วยแพลตฟอร์มเดียวกับ Alfa Romeo Tonale จะมีให้เลือกใช้งานด้วยกันสองรุ่น ประกอบด้วยรุ่นเริ่มต้น ที่มาพร้อมกับรหัส GT ที่จะมาพร้อมกับขุมกำลัง Hurricane4 แบบสี่สูบ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จเจอร์ ที่เชื่อมต่อกับชุดส่งกำลังแบบอัตโนมัติ9 สปีด ให้กำลังสูงสุด 268 แรงม้า (HP) พร้อมกับแรงบิด 400 นิวตันเมตร มีคุณสมบัติในการเร่งความเร็วจาก 0-*60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในเวลา 6.5 วินาที
ในขณะที่รุ่นท๊อปของไลน์อัพ จะเป็นรุ่น R/T โดยจะเป็นโมเดลในรูปแบบของ PHEV ที่ให้กำลังจากเครื่องยนต์ 4 ลูกสูบเทอร์โบชาร์จ 1.3 ลิตร และมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า ขนาด 90 kW ที่เพลาล้อหลัง ทำให้ตัวรถมีกำลังสูงสุดรวม 285 แรงม้า ควบคู่กับแรงบิดสูงสุด 519 นิวตันเมตร เชื่อมต่อกับชุดส่งกำลังอัตโนมัติ 6 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD
ในส่วนของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนบนตัวรถ จะมีขนาด 15.5 lWh ที่ส่งกำลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลาล้อหลัง ซึ่งทำให้ตัวรถสามารถวิ่งได้ด้วยกำลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกล 30 ไมล์ (48 กิโลเมตร) และยังเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการใช้งานฟีเจอร์พิเศษ “PowerShot” ที่จะทำให้มอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้าเสริมกำลังกับกำลังของเครื่องยนต์สันดาปในช่วงเวลาสั้นๆ ในการเร่งความเร็ว ด้วยระยะเวลา 12 วินาที เมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้ จะมีความสามารถในการเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ ในเวลาเพียง 6.1 วินาที
[adsforwp id=”1302″]
ในรุ่นท๊อปจะมาพร้อมกับโหมดขับขี่ 3 โหมด ประกอบไปด้วย “Hybrid Mode” ที่ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า จะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุด “Electric Mode” ที่จะเปิดใช้งานแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว และโหมด “E-Save Mode” ที่จะให้ความสำคัญกับการใช้งานเครื่องยนต์ ICE เป็นลำดับแรกเพื่อรักษาประจุแบตเตอรี่ และในโหมดนี้จะมีคุณสมบัติในการประจุกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ด้วยการใช้งานเบรกอีกด้วย
ตามมาตรฐาน Hornet R/T จะใช้ล้อสีเทาแกรไฟต์ขนาด 18 นิ้ว ในขณะที่ GT มีล้ออัลลอยด์สีเงินขนาด 17 นิ้วที่เล็กกว่า ทั้งสองรุ่นมาพร้อมแพ็คเกจ Blacktop ที่เพิ่มล้ออัลลอย Abyss ขนาด 18 นิ้ว ป้ายและฝาครอบกระจกเงาสีดำเงา และคิ้วช่องเปิดไฟเดย์ไลท์สีดำเงา นอกจากนี้ยังมีการประกาศ Track Package ด้วยล้อขนาด 20 นิ้วและการอัพเกรดสมรรถนะต่างๆ รวมถึงระบบกันสะเทือนแบบวาล์วคู่พร้อมระบบหน่วงที่ปรับแต่งได้
ในขณะที่อุปกรณ์มาตรฐานบนตัวรถ ในรุ่น R/T จะมาพร้อมกับชุดระบบกันสะเทือนจากแบรนด์ Koni คาลิปเปอร์เบรกหน้า Brembo ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ตัวเลือกเสริมในรุ่น GT ในส่วนระบบความปลอดภัยมาตรฐานของทั้งสองรุ่นจะมีระบบ Automatic Emergency Braking, Lane Support System และระบบ Blind Spot Detection with Rear Cross Path โดยมีแพ็กเกจเสริม “Tech Pack” ที่จะเพิ่มคุณสมบัติ Level 2 Autonomous Driving ที่มาพร้อมกับระบบ, Driver Attention Assist, Intelligent Adaptive Cruise Control, Lateral Control/Lane Support with Lane Control และ Traffic Jam Assis
ในห้องโดยสาร ทั้งสองรุ่นจะใช้อุปกรณ์ร่วมกัน ทั้งหน้าจอแสดงผลส่วนคนขับขนาด 12.3 นิ้ว พวงมาลัยแบบ <ulti-Function หน้าจอแสดงผล Infotainment System ขนาด 10.5 นิ้ว พร้อมระบบ Uconnect 5 ที่รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ในขณะที่เบาะนั่งจะเป็นหนังสังเคราะห์ผสมกำมะหยี่ ช่องปรับอากาศที่นั่งแถวที่สอง พร้อมช่องเสียบชาร์จ USB Type-C ในขณะที่ตัวเลือกระบบเสียงแบบพรีเมี่ยมHarman-Kardon พร้อมลำโพง 14 ตัว และแท่นชาร์จไร้สายจะเป็นอุปกรณ์เสริม
สำหรับการจำหน่าย 2023 Dodge Hornet ทั้งสองรุ่น จะเริ่มเข้าสู่โชว์รูมและตัวแทนจำหน่ายในอเมริกาเดือนธันวาคมนี้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 29,995 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 1.06 ล้านบาท
Credit : www.carscoops.com
[adsforwp id=”1302″]