Smart บริษัทร่วมทุนระหว่าง Mercedes-Benz และ Geely ที่พัฒนาและผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ #5 ซึ่งเป็นรถยนต์แบบครอสโอเวอร์ขนาดกลาง ที่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่บริษัทได้ปล่อยออกสู่ตลาดในปัจจุบัน
Smart #5 ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 5 ของแบรนด์ อย่างที่หลายๆ คนกำลังเข้าใจ แต่ตัวเลขที่กำกับตัวผลิตภัณฑ์นั้น จะระบุถึงตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม โดยที่ตัวเลข 5 ที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ จะหมายถึงผลิตภัณฑ์ขนาดกลาง ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า Smart #1 และ Smart #3 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า
Smart #5 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งไว้ด้านหลังซึ่งดึงพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ขนาด 76 kWh โดยที่แบตเตอรี่ชุดนี้จะมีรากฐานสำคัญของระบบประจุไฟ แม้ว่าทางผู้ผลิตจะยีงไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่ตัวรถน่าจะมาพร้อมกับสถาปัตยกรรม 400V ซึ่งสามารถรับพลังงานได้มากถึง 150 KW เมื่อเชื่อมต่อกับเครื่องชาร์จด่วน DC ซึ่งหมายความว่าสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาไม่ถึง 30 นาทีในขณะที่รุ่นมาตรฐาน จะมีระยะทางตามมาตรฐาน WLTP ที่ 465 กิโลเมตรต่อชาร์จ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 6.9 วินาที
ในขณะที่รุ่นที่สูงขึ้นอย่าง Smart #5 Pro+ จะได้รับแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ขนาด 100 kWh ซึ่งรองรับสถาปัตยกรรม 800V จับคู่กับมอเตอร์ด้านหลังตัวเดียวซึ่งให้กำลัง 358 แรงม้า (hp) ทำให้มีระยะทางตามมาตรฐาน WLTP ที่ 590 กิโลเมตรต่อชาร์จ ในขณะที่รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อแบบมอเตอร์คู่จะเพิ่มกำลังเป็น 579 แรงม้า (hp) แต่ระยะทางลดลงเหลือ 540 กิโลเมตรต่อชาร์จ แต่จะมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยเวลา 4.9 วินาที ซึ่งน่าประทับใจมาก แต่สิ่งที่น่าประทับใจกว่าคือแบตเตอรี่ที่มีสถาปัตยกรรม 800V ที่สามารถรองรับการชาร์จบนสถานี DC กำลังไฟสูงสุดได้ 400 kW ซึ่งเกือบเป็นสองเท่าของอินพุตที่ HyundaiIoniq 5 และ Ioniq 9 ทำได้ และยังเหนือกว่าเจ้าตลาดอย่าง Tesla Model Y ที่สามารถรับกำลังไฟสูงสุดได้ที่ 250 kW
Smart #5 มีที่นั่ง 5 ที่นั่งและเบาะหลังสามารถพับราบได้ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดคือด้านหน้าซึ่งครอสโอเวอร์ไฟฟ้ามีหน้าจอแสดงผลขนาด 10.25 นิ้วสำหรับคันขับ และหน้าจอ OLED ขนาด 13 นิ้วอีก 2 จอที่เชื่อมต่อกันที่ด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีจอแสดงผลแบบเสมือนจริงขนาด 25.6 นิ้วอีกด้วย โดยหน้าจอทั้งหมดจะมีการติดตั้งชิปประมวลผล AMD V2000 และยังมีคุณสมบัติในการรับคำสั่งเสียงที่รองรับ AI สามารถทำให้ประสบการณ์การใช้งานทั้งหมดไร้ความกังวล ทำงานบน Smart OS 2.0 โดยนำเสนอการกำหนดเส้นทาง EV ที่เหมาะสมและศูนย์วิดีโอที่ผสานรวมบริการสตรีมวิดีโอครบวงจร
ในด้านความบันเทิง ระบบเสียง Sennheiser Signature Sound 20 ลำโพงที่ให้กำลังขับ 1,190 วัตต์และมีลำโพงยกสูงที่หรูหราบนแผงหน้าปัด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ความปลอดภัยเชิงรุกและเชิงรับให้เลือกใช้มากมาย รวมถึงถุงลมนิรภัยแบบม่านรูปตัววี เข็มขัดนิรภัยที่ติดไว้กับเบาะ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้พร้อม Stop & Go และระบบช่วยหยุดรถบนทางหลวง
ในส่วนของรุ่นท๊อปสุด จะเรียกว่า Summit Edition โดยจะมาพร้อมกับขอเกี่ยวรถพ่วงไฟฟ้า แพลตฟอร์มหลังคา และบันไดข้าง อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ถือเป็น “การปรับปรุงสำหรับการขับขี่แบบออฟโรด” และเป็นรุ่นสำหรับส่งเสริมการทำกิจกรรมกลางแจ้งโดยเฉพาะเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มคุณสมบัติในการใช้งานเชิงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
สุดท้ายคือเรื่องของราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ Smart #5 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 45,900 ยูโร หรือประมาณ 1.68 ล้านบาท ในรุ่นมาตรฐาน ในขณะที่รุ่นที่สูงขึ้นนั้น จะมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 56,900 ยูโรหรือราวๆ 2.09 ล้านบาท แม้ในปัจจุบัน Smart จะยังมุ่งเน้นการทำตลาดเฉพาะในโซนยุโรปอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเข้ามาทำตลาดในโซนเอเชีย อเมริกา และอาเซี่ยนอยู่เหมือนกัน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก insideevs.com