Toyota ยักษ์ใหญ่ของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก กำลังจะสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการปฏิวัติวงการรถไฟฟ้า ที่จะนำไปสู่การใช้งานแบตเตอรี่แบบ solid-state ที่สามารถส่งระยะทางได้ไกลถึง 1,199 กิโลเมตร ในขณะที่ใช้เวลาชาร์จทั้งหมดเพียงแค่ภายใน 10 นาทีเท่านั้น ตามรายงานของ The Guardian
[adsforwp id=”1302″]
โดยทางคุณเคจิ ไคตจะ ประธานของศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัทในด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน ได้เปิดเผยต่อสื่อใหญ่อย่าง The Guardian ว่าได้ลดความซับซ้อนของการผลิตวัสดุที่ใช้ทำแบตเตอรี่ทั้งแบบ solid-state และ liquid-based ซึ่งจะทำให้สามารถลดน้ำหนัก ขนาด และต้นทุนของชุดที่บรรจุอยู่ในยานพาหนะลงได้ครึ่งหนึ่ง
[adsforwp id=”1302″]
โดยที่ตัวแบตเตอรี่ solid-state ได้ถูกมองว่าเป็นขั้นตอนต่อไปในการพัฒนา EV เนื่องจากถือว่าปลอดภัยและเชื่อถือได้มากกว่าเซลล์ลิเธียมไอออนที่ใช้อิเล็กโทรไลต์ที่เป็นของเหลว แต่ในขณะเดียวกันก็มีราคาแพงกว่ามาก และขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยากและซับซ้อนกว่า
และทางบริษัทสตาร์ทอัพหลายๆ แห่ง เช่น Solid Power, QuantumScape, Factorial และ StoreDot ได้ทำงานเพื่อทำให้แบตเตอรี่ solid-state มีต้นทุนในการผลิตที่มีราคาไม่สูงมากจนเกินไป รวมไปถึงลดขั้นตอนในการผลิต ให้สามารถผลิตในจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วขึ้น แต่ ณ วันนี้ เราเองก็ยังไม่เห็นการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมมากนัก หรือการติดตั้งแบตเตอรี่ยุคใหม่นี้บนผลิตภัณฑ์ EV ใดๆในอุตสาหกรรมยานยนต์แต่อย่างใด
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในตอนนี้ Toyota จะทำให้กระบวนการผลิตง่ายขึ้น ซึ่งอาจทำให้การผลิตแบตเตอรี่ solid-state ง่ายกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบรถ EV หลายคนมองว่ายังดูเคลื่อนไหวช้ากว่าคู่แข่งรายอื่นๆ และยังแสดงจุดยืนของบริษัทที่จะมุ่งเน้นการพัฒนารถยนต์ ICE รถไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด และยานพลังไฮโดรเจนมากกว่าการไปยังรถยนต์ EV เหมือนกับผู้ผลิตรายอื่นๆ
โดยส่วนหนึ่งของแผนนี้ บริษัทต้องการสร้างสถาปัตยกรรม EV-only ใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ใช้งานบนยานพาหนะใหม่ตั้งแต่ปี 2026 รวมถึง SUV สามแถวที่ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งมีรายงานว่าจะเข้าสู่การผลิตในปี 2025 โดยใช้แบตเตอรี่ที่มาจากโรงงานใน North Carolina
และนอกจากนี้แล้ว กลุ่มรถยนต์คาดการณ์ว่าจะสามารถผลิตแบตเตอรี่ solid-state ขั้นสูงที่สามารถให้พลังงานได้ไกลกว่า 900 ไมล์ (1,448 กม.) โดยมีกรอบเวลาหลังจากปี 2028 ซึ่งดูแล้วอาจจะยังคงใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ แต่จนกว่าจะถึงช่วงเวลานั้น เราเองก็ไม่รู้แล้วว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะพัฒนาไปถึงขั้นไหน และเทคโนโลยีที่ใช้เวลาในการพัฒนานานขนาดนี้ จะยังคงจำเป็นต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมอยู่อีกหรือไม่ อันนี้คงต้องติดตามกันต่อไป
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก insideevs.com
[adsforwp id=”1302″]