Toyota Tacoma TRD Pro ปี 2024 จัดว่าเป็นรุ่นท๊อปของรถปิ๊กอัพขนาดกลาง ที่มีส่วนเสริมของอุปกรณ์ใช้งานเชิงออฟโรดจำนวนมาก แต่ทางผู้ผลิตก็นำเสนอแนวทางในการนำเสนอที่แตกต่างออกไปด้วยการเพิ่มสีตัวถังที่มีมากถึง 9 เฉดสีให้ได้เลือกใช้งาน
[adsforwp id=”1302″]
ตามข้อมูลที่เราได้มานั้น Toyota Tacoma TRD Pro ปี 2024 จะมาพร้อมกับขุมกำลัง ไฮบริด i-Force Max ที่มีเครื่องยนต์สี่สูบ 2.4 ลิตรเทอร์โบชาร์จและมอเตอร์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้กำลังรวม 326 แรงม้า (hp) และแรงบิด 465 Ib-Ft และรุ่นนี้จะมีการติดตั้งอุปกรร์พิเศษสำหรับเครื่องยนต์ที่ไม่มีในรุ่นอื่นๆ นั่นก็คือ ท่ออากาศ TRD และไอเสียแบบ cat-back
[adsforwp id=”1302″]
ในส่วนของอุปกรณ์เชิงออฟโรดนั้น มาพร้อมกับส่วนประกอบระบบกันสะเทือนของ Fox พร้อม Quick Switch 3 ด้วยงานออกแบบภายในตัวโช้คอัพแบบพิเศษแบบบายพาสปรับได้สามทาง ขนาด 2.5 นิ้ว และ Internal Floating Piston (IFP) ที่กันกระแทกด้านหลัง นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ควบคุมส่วนบนที่เพิ่มระยะห่างของตัวรถจากพื้นขึ้นไป 11 นิ้ว และมีมุม Camber angle 33.8 องศา มุม breakover 23.5 องศา และเฟืองท้ายแบบ electronic-locking rear differential
ตัวรถยังมีระบบ Multi-Terrain Monitor โดยจะใช้งานระบบกล้องบริเวณใต้กระจังหน้า เพื่อถ่ายให้เห็นพื้นผิวของเส้นทาง ทำให้สามารถคำนวน กำหนดการควบคุม และการมองเห็นเส้นทางที่ชัดเจนมากขึ้น มีขอเกี่ยวด้านหน้าและด้านหลัง แผ่นกันไถลหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น และการติดตั้งยาง Goodyear Territory R/T ขนาด 33 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ภายใน TRD Pro มีที่นั่งด้านหน้าแบบ IsoDynamic Performance ที่จะติดตั้งโช้คอัพinternal air-over-oil shock เพื่อให้ผู้ขับขี่มีความมั่นคงขณะขับขี่บนเส้นทางออฟโรด โดยสามารถปรับระดับแรงกระแทกได้ นอกเหนือจากนี้ ตัวรถยังได้รับหน้าจอระบบสาระบันเทิงขนาด 14.0 นิ้ว และแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว
ในส่วนของตัวถังนั้น Toyota นำเสนอ Tacoma TRD Pro 2024 ด้วยกัน 9 เฉดสี ประกอบด้วย สี Supersonic Red, Blue Crush Metallic, Underground, Wind Chill Pearl, Solar Octane, Celestial Silver Metallic, Black, Ice Cap และ Bronze Oxide ถือว่ามีตัวเลือกให้ได้ใช้งานตามใจชอบมากที่สุดรุ่นหนึ่งของผลิตภัณฑ์เลยก็ว่าได้
สำหรับการจำหน่ายนั้น Toyota เตรียมที่จะวางจำหน่าย Tacoma รุ่นปี 2024 ทุกรุ่น ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 โดยมีตลาดอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และยุโรปบางส่วนเป็นตลาดหลักของผลิตภัณฑ์ ซึ่งแน่นอนว่าโมเดลนี้ไม่ได้เข้ามาทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซี่ยน ที่ปัจจุบันมี Toyota Revo ประจำการอยู่
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]