การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มันมีอะไรที่มากกว่าแค่การสร้างรถยนต์ขึ้นมาหนึ่งคัน สำหรับผู้ผลิตรถยนต์หลายรายของโลก การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งหมด ซึ่งรวมถึง Toyota อยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2040 โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดรถยนต์ในยุโรป โดยมีแนวทางที่หลากหลายเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้
[adsforwp id=”1302″]
Toyota ได้เปิดเผยว่ากำลังดำเนินการเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรถยนต์ใหม่ทั้งหมดในยุโรปและสหราชอาณาจักรให้ได้ 100% ภายในปี 2040 โดยจะใช้การผสมผสานระหว่างแบตเตอรี่ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด ยานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดเพื่อลดการปล่อยมลพิษ โดยทาง Toyota รับทราบว่าการบรรลุเป้าหมายนี้ย่อมมีความท้าทายเนื่องจากธุรกิจอยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การขนส่งและการจัดหาชิ้นส่วน ผู้ผลิตรถยนต์กล่าวว่าจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์และพันธมิตรในความพยายามนี้
ซึ่งทาง Toyota วางแผนที่จะทำให้โรงงานผลิตในยุโรปทุกแห่งมีค่าคาร์บอนเป็นศูนย์ ซึ่งทาง Toyota กำลังรีไซเคิลขยะ 90 เปอร์เซ็นต์ที่โรงงาน Deeside ในสหราชอาณาจักรเพื่อผลิตพลังงานสีเขียว โรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นโรงงานแห่งแรกที่มีค่าคาร์บอนเป็นศูนย์ในปี 2025 ผลิตรถยนต์ยังติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำนวนมหาศาล ซึ่งเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 10 สนาม เพื่อเป็นแหล่งพลังงานหลักให้กับโรงงาน และจะพัฒนาโรงงานผลิตหลายๆ แหล่งในยุโรปให้เป็นโรงงานสีเขียวทั้งหมดภายในปี 2035
[adsforwp id=”1302″]
เมื่อไม่กี่วันก่อน Toyota ได้เปิดตัวแนวคิด C-HR Prologue ซึ่งจะเป็นพิมพ์เขียวและแผนที่ในการเดินทางของโครงการระยะยาวนี้ ถึงแม้ว่าตัวรถจะเป็นเพียงแนวคิดที่ไม่อาจจะถูกนำไปผลิตจริงแบบ 100% แต่เชื่อได้เลยว่า ณ ตอนนี้ Toyota ได้วางเข็มทิศให้กับบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เราได้เห็นว่า Toyota กำลังพัฒนาแบตเตอรี่ที่ร่วมกับ BYD อีกทั้งยังคงไม่ทิ้งพลังงานทางเลือกอย่างไฮโดรเจน ซึ่งเราจะได้เห็นไปแล้วจาก Corolla Cross H2 Concept ซึ่งมีเครื่องยนต์สันดาปภายในที่เผาไหม้ไฮโดรเจนแทนน้ำมันเบนซินหรือดีเซล อีกทั้งยังมีแผนที่พัฒนาเครื่องยนต์รูปแบบนี้ไปสู่รถปิ๊กอัพ Hilux ในอนาคตอีกด้วย
จะเห็นได้ว่า Toyota เองมีการวางแผนระยะยาวเพื่อการบรรลุค่าความเป็นกลางคาร์บอนให้ได้ตามที่กำหนดไว้ ด้วยแนวทางที่หลากหลาย ซึ่งเราก็คงต้องรอดูกันว่า Toyota จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่
Credit : www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]