ดูเหมือนว่าแผนการพัฒนาแบตเตอรี่แบบ solid-state ของ Toyota จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากประกาศแผนงานระยะยาวของโครงกร BEV มาตั้งแต่ปลายปี 2020 ที่ผ่านมา
[adsforwp id=”1302″]
จากความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Toyota เปิดเผยว่าทางบริษัทมีแนวโน้มที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของยานยนต์ BEV ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่ยุคใหม่ ในปี 2026 โดยล่าสุดทางผู้ผลิตได้เปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับแบตเตอรี่ขั้นสูงใหม่ที่จะจ่ายให้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเจเนอเรชันหน้า
[adsforwp id=”1302″]
ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นจะใช้แบตเตอรี่เจเนอเรชั่นถัดไป 4 ประเภท โดย 3 ประเภทมีเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ liquid electrolyte battery technologies และแบตเตอรี่แบบ solid-state โดยทางบริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าผ่าน 4 ตัวเลือกแบตเตอรี่นี้ 1.7 ล้านคัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวงจร BEV จำนวน 3.5 ล้านคันที่ที่บริษัทคาดว่าจะจำหน่ายทั่วโลกภายในปี 2030
โดยทางผู้ผลิตจากแดนอาทิตย์อุทัย ได้เปิดเผยรายละเอียดบางส่วนของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่นี้ไว้ว่า แบตเตอรี่แบบ liquid electrolytes ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่กระแสหลักสำหรับ BEV โตโยต้ากล่าวว่ากำลังดำเนินการปรับปรุงรอบด้าน รวมถึงความหนาแน่นของพลังงานที่สูงขึ้น ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และความเร็วในการชาร์จไฟกลับไปเก็บยังตัวแบตเตอรี่ โดยจะแบ่งออกเป็นอีก 3 ประเภทย่อยๆ ซึ่งจะเรียกกันว่า Performance, Popularization และ High-Performance
Performance จะเป็นแบตเตอรี่รูปแบบใหม่รุ่นแรกที่จะเปิดตัวบนผลิตภัณฑ์ของบริษัท ในปี 2026 เป็นต้นไป โดยจะเพิ่มระยะการขับขี่เป็นมากกว่า 497 ไมล์ (ประมาณ 800 กิโลเมตร) ด้วยความช่วยเหลือด้านอากาศพลศาสตร์ของยานพาหนะที่ดีขึ้นและน้ำหนักของยานพาหนะที่ลดลง แบตเตอรี่ Performance คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนลง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ ต้นทุนในการผลิตแบตเตอรี่ของ Toyota bZ4X เวลาในการชาร์จที่รวดเร็วเพียง 20 นาทีหรือน้อยกว่า จากสถานะการชาร์จ 10 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ (บนสถานีชาร์จแบบ DC)
ส่วนของแลตเตอรี่ Popularization จะใช้สารประกอบหลักของแบตเตอรี่นั้น จะใช้ lithium iron phosphate (LFP) และจะเป็นตัวเลือกที่มีต้นทุนต่ำกว่าแม้ว่าจะมีคุณภาพสูงก็ตาม สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีไบโพลาร์ที่โตโยต้าเป็นผู้บุกเบิกสำหรับแบตเตอรี่ nickel metal-hydride (NiMH)โดยคาดว่าแบตเตอรี่จะออกสู่ตลาดในปี 2026-2027 ผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่จะให้ระยะการขับขี่เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ bZ4X และลดต้นทุนลง 40 เปอร์เซ็นต์
ในขณะที่ High-Performance แบตเตอรี่ จะใช้ lithium-ion chemistry ที่ผสมกับ high nickel cathode เพื่อให้บรรลุความสามารถในการขับขี่ได้ไกลกว่า 621 ไมล์ (ประมาณ 1,000 กิโลเมตร) เมื่อรวมกับการออกแบบตัวรถที่อาศัยหลักการทางอากาศพลศาสตร์และการลดน้ำหนักของตัวรถโดยรวม โตโยต้าคาดว่าจะลดต้นทุนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ Performance และเวลาในการชาร์จบนสถานี DC fast charging 10-80 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 20 นาที แบตเตอรี่นี้มีแผนจะเปิดตัวในปี 2027-2028
ส่วนแบตเตอรี่แบบ Solid-State นั้น โตโยต้าอ้างว่าจะใช้ส่วนผสมของ solid electrolyte ที่ช่วยให้ไอออนเคลื่อนที่เร็วขึ้น และทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าและอุณหภูมิสูงได้มากขึ้น เป็นผลให้แบตเตอรี่แบบใหม่นี้ เหมาะสำหรับการชาร์จ การคายประจุ และการจ่ายพลังงานอย่างรวดเร็วในรูปแบบที่เล็กลง ข้อเสียเปรียบคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สั้นลง แต่ทางผู้พัฒนาอ้างว่าสามารถเอาชนะความท้าทายนี้ได้ ด้วยความก้าวหน้าล่าสุดที่เร่งระยะเวลาการผลิต
ตามข้อมูลของ Toyota เป้าหมายคือเพื่อให้แบตเตอรี่ solid-state พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์ภายในปี 2027-2028 ในรถยนต์ BEV รุ่นต่อไป โดยเริ่มแรกโตโยต้าวางแผนที่จะเปิดตัวแบตเตอรี่โซลิดสเตตในรถยนต์ไฮบริดที่จะใช้งานร่วมกับการส่งกำลังจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน โตโยต้าคาดว่าแบตเตอรี่แบบ solid-state ตัวแรกจะมีระยะการขับขี่เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ Performance หรือประมาณ 621 ไมล์ (1,000 กิโลเมตร) และเวลาในการชาร์จบนสถานี fast charging 10-80 เปอร์เซ็นต์ ในเวลา 10 นาที หรือต่ำกว่า
นอกจากนี้ ทางทีมผู้พัฒนายังได้กล่าวเสริมว่า แบตเตอรี่แบบ solid-state จะมีการพัฒนารุ่นประสิทธิภาพสูงตามมาภายหลัง โดยตั้งเป้าปรับปรุงระยะเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่แบบ Performance ซึ่งจะอยู่ที่ราวๆ 745 ไมล์ (ประมาณ 1,199 กิโลเมตร) และมีแนวโน้มที่จะเปิดตัวบนผลิตภัณฑ์ BEV ของบริษัทในระหว่างปี 2029-2030 โดยประมาณ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก nsideevs.com
[adsforwp id=”1302″]