กลายเป็นพาดหัวใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อ Arnaud Deboeuf หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตของ Stellantis ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg โดยมีใจความที่ชี้ไปในการเตือนผู้ผลิตรถยนต์หลายๆ เจ้าที่กำลังพัฒนารถยนต์ EV ให้ลดต้นทุนการผลิต ที่จะส่งผลโดยตรงกับราคาจำหน่าย ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการล่มสลายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
[adsforwp id=”1302″]
ในปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อลดต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีราคาแพงกว่าในการผลิต และส่งผลให้มีต้นทุนในการซื้อสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่ความพยายามนั้นกำลังถูกขัดขวางโดยการเพิ่มต้นทุนของวัสดุที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ โดยปัจจัยส่วนหนึ่งของการขยับเพดานราคาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เกิดจากภาวะสงครามระหว่าง รัสเซียและยูเครน รวมไปถึงรัฐบาลบางประเทศกำลังพิจารณาลดเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อยานยนต์ EV ในประเทศตนเอง ก่อนหน้านี้ บริษัทหลายแห่งที่จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึง Ford, Hummer, Rivian และ Tesla ถูกบังคับให้ขึ้นราคาขายปลีกของยานพาหนะของตนเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น และนั่นเป็นข้อกังวลสำหรับอุตสาหกรรม
Arnaud Deboeuf หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตของ Stellantis ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Bloomberg ไว้ว่า “หากผู้ผลิตรถยนต์ไม่สามารถลดต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าได้ ตลาดจะพังทลาย” ในขณะที่ Stellantis มีแผนที่จะลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลง 40 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 โดยทาง Stellantis กำลังพิจารณาในการเพิ่มสายการผลิตชิ้นส่วนและองค์ประกอบของรถยนต์ EV เป็นของตนเอง โดยที่จะใช้การพึ่งพา Suppkier และผู้ผลิต Semi-Conductor ให้น้อยที่สุด เพื่อเป็นการลดต้นทุนในระยะยาว
จากข้อความนี้ เราสามารถติดตามเจตนาของ Arnaud Deboeuf โดยเจ้าตัวต้องการจะชี้ให้เห็นว่า เมื่อราคาต้นทุนในการผลิตนั้นสูงขึ้น จากปัจจัยหลายๆ อย่าง ราคาจำหน่ายของตัวรถแบบปลีก จะมีการขยับขึ้นตามมูลค่าของต้นทุน ดังนั้นการ “พังทลาย” ณ ที่นี้ ตามความหมายของ Deboeuf ไม่ได้หมายถึงการขาดแคลนของส่วนประกอบ แต่หมายถึงโครงสร้างของราคา จะทำให้ตัวรถมีมูลค่าที่สูงขึ้น จนคนส่วนมากที่มีรายได้ขนาดกลางไม่สามารถซื้อรถเป็นของตนเองได้มากกว่า ดังนั้น สัดส่วนของผู้ที่จะสามารถซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลได้จะลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลโดยรวมต่อตลาด และก่อให้เกิดผู้ผลิตที่มีมากกว่าผู้บริโภคนั่นเอง
[adsforwp id=”1302″]
เช่นเดียว Carlos Tavares ซีอีโอของ Stellantis กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าในขณะที่บริษัทของเขาจะปฏิบัติตามการตัดสินใจของสหภาพยุโรปในการห้ามเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 เขารู้สึกว่าการตัดสินใจเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่สนใจว่าผู้ผลิตรถยนต์จะมีวัตถุดิบเพียงพอหรือไม่ เมื่อต้องเปลี่ยนจากการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายใน สู่การใช้งานแบตเตอรี่ ที่วัตถุดิบในปัจจุบันกำลังหาได้ยากและมีราคาที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
สหภาพยุโรปลงมติเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยได้ออกคำสั่งให้มีการห้ามจำหน่าย ยานพาหนะส่วนบุคคลที่ใช้งานเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 ในขณะที่ประเทศอื่นๆในยุโรป ก็เริ่มมีการร่างกฎหมายรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่นี้ อย่างเช่นในฝรั่งเศสจะเริ่มออกกฏหมายกำหนดเขตในกรุงปารีส ให้เป็นเขตปลดเครื่องยนต์สันดาป 100% ภายในปี 2030 และจะขยายออกไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศภายในปี 2035
Credit : www.carscoops.com
[adsforwp id=”1302″]