Xpeng ได้เปิดตัว P7+ ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่วางจำหน่ายโดยใช้ระบบ AI Hawk ใหม่ของบริษัท โดยระบบนี้จะละทิ้ง Lidar เพื่อการขับเคลื่อนอัจฉริยะในเมือง และหันมาใช้แนวทางการมองเห็นแบบ Tesla แทน
He Xiaopeng ซีอีโอของ Xpeng กล่าวว่า P7+ ผสมผสานระหว่างรูปลักษณ์ของรถซีดาน ความสะดวกสบายของ SUVและห้องโดยสารที่กว้างขาวงแบบ MPV โดยตัวรถ Xpeng P7+ มีทั้งหมด 3 รุ่น รุ่นท็อป Limited Max พร้อมล้อขนาด 20 นิ้ว แบตเตอรี่ขนาด 76.3 kWh และอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.9 วินาที ผลิตเพียง 500 คันเท่านั้น
Xpeng P7+ สามารถอธิบายได้ว่าเป็นรถเก๋ง ลิฟต์แบ็ค หรือแฮทช์แบ็ค แน่นอนว่ารถรุ่นนี้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและน่าประทับใจด้วยฝากระโปรงแบบพับคู่ และยังมีดีไซน์ปลายคู่ที่ด้านหลังอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็น Xpeng ที่ยาวเป็นอันดับสองจนถึงปัจจุบัน มีเพียง X9 MPV ขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีขนาดใหญ่กว่า
ตัวรถมาพร้อมกับขนาด 5056/1937/1512 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3000 มิลลิเมตร ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 1,967 และ 2,037 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับรุ่น รถยนต์คันนี้มีความแข็งแรงในการบิดตัว 40,500 นิวตันเมตร/องศา ซึ่งเหมาะกับมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวของ C-NCAP ในปี 2024 ตามที่ Xpeng ระบุ P7+ มุ่งเป้าไปที่กลุ่มอายุ 28-36 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นสูงในสังคมที่หลงใหลในเทคโนโลยี
แม้จะมีชื่อนี้ แต่ P7+ ก็ไม่ใช่รุ่นที่แยกย่อยมาจาก P7i แม้ว่ารถทั้งสองคันจะมีระยะฐานล้อที่ใกล้เคียงกัน แต่ P7+ ยาวกว่ามาก Xpeng พยายามสร้างรถยนต์สำหรับครอบครัวด้วย P7+ โดยเพิ่มพื้นที่ภายในให้มากที่สุด ซึ่งส่วนหนึ่งก็ทำได้ด้วยการออกแบบเสา A ด้านหน้า
เมื่อเปิดตัว P7+ มีจำหน่ายเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าให้เลือก 2 ตัว รุ่นที่มีกำลังต่ำกว่าใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 180 แรงม้า (kw) ที่ผลิตโดยโรงงานของ Xpeng ในเมืองอู่ฮั่น ความเร็วสูงสุดของรุ่นนี้คือ 200 กม./ชม. และเวลาเร่งความเร็วคือ 6.8 วินาที รุ่นที่ทรงพลังกว่าใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 230 แรงม้า (kw) ซึ่งช่วยลดเวลา 0-100 ไมล์ต่อชั่วโมงลงเหลือ 5.9 วินาที แต่ไม่ได้เพิ่มความเร็วสูงสุด
Xpeng Mona M03 เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่นำเสนอแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟตเท่านั้น และ P7+ ก็ยังคงแนวโน้มนี้ต่อไป โดยใช้แบตเตอรี่ 60.7 kWh โดยมีระยะทาง 602 กิโลเมตรต่อชาร์จ ตามมาตรฐาน CLTC ในขณะที่แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 76.3 kWh ตะรองรับระยะทาง 710 กิโลเมตร โดยทาง He Xiaopeng ซีอีโอของ Xpeng กล่าวว่าในเดือนธันวาคม 2024 P7+ จะได้รับการอัปเดต OTA ซึ่งจะเพิ่มระยะทางเป็น 615 กิโลเมตร และ 725 กิโลเมตร ตามลำดับ เหตุผลที่ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นคือการใช้พลังงานที่ปรับแล้วเป็น 11.4 kWh ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
P7+ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการต่างๆ ประการแรก ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านคือ 0.206 Cd และ Xpeng ยังพยายามลดน้ำหนักตัวรถ และยังใช้ใช้แพลตฟอร์มซิลิกอนคาร์ไบด์แรงดันสูง 800V Xpeng กล่าวว่ามอเตอร์มีประสิทธิภาพโดยรวมของ CLTC มากกว่า 92.5% และประสิทธิภาพสูงสุด 98%
ภายในห้องโดยสารจะพบกับ หน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 15.6 นิ้วพร้อมแผงหน้าปัดขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งขับเคลื่อนโดยชิป Qualcomm Snapdragon SA8295P ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้ 50% เมื่อเทียบกับชิป 8155 รถรองรับคีย์ UWB และการอัปเดต OTA ยังมีกระจกสตรีมมิ่งขนาด 9 นิ้วและหน้าจอความบันเทิงขนาด 8 นิ้วที่ด้านหลัง ซึ่งหน้าจอความบันเทิงขนาด 8 นิ้วสามารถควบคุมเบาะหลัง เครื่องปรับอากาศ และความบันเทิงได้
P7+ ใช้ระบบ AI Tianxian ซึ่งผสานรวมโมเดลขนาดใหญ่ X-GPT ที่ Xpeng พัฒนาขึ้นเอง มีจุดรับรู้มากกว่า 1,000 จุด Xpeng กล่าวว่าผู้ช่วย AI Xiao P เข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า คิดได้เต็มที่กว่า กระทำได้แม่นยำกว่า และไม่เพียงแค่เข้าใจภาษาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังทำภารกิจให้สำเร็จในขั้นตอนเดียวอีกด้วย
รุ่นที่มีคุณสมบัติสูงกว่าจะมีระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และนวดที่เบาะนั่งด้านหน้าและด้านหลัง เบาะนั่งด้านหลังยังมีระบบปรับความชันไฟฟ้านอกจากนี้ยังมีหลังคาพาโนรามิกขนาด 2.1 ตารางเมตร รุ่นที่มีการตกแต่งสูงกว่าจะมีเบาะหนัง Nappa นอกจากนี้ยังมีระบบเสียงรอบทิศทางแบบพาโนรามิก 7.1.4 ที่พัฒนาขึ้นเองพร้อมลำโพง 20 ตัว พื้นที่ท้ายรถด้านหลังมีความจุสูงสุด 725 ลิตร และเมื่อพับเบาะลง P7+ จะสามารถจุได้ 2,221 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วจำนวน 33 ใบ
ชิป Nvidia Orin X สองตัวให้พลังการประมวลผล 508 TOPS สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ ระบบเหล่านี้ใช้ข้อมูลจากกล้อง 11 ตัว เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 3 ตัว และเซ็นเซอร์อัลตราโซนิก 12 ตัว Xpeng อ้างว่าระบบ AI Hawk สามารถใช้การตั้งค่านี้เพื่อให้มีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติในระดับที่เทียบเท่ากับ XNGP ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงรุ่น Max ที่ติดตั้ง Lidar เท่านั้นที่ทำได้
ตัวรถได้เปิดรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่งาน Paris Motor Show ในประเทศฝรั่งเศส และสามารถสร้างยอดจองได้ 30,000 คันในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งทางบริษัทเองกำลังเดินหน้าเปิดสายการผลิตอย่างเต็มระบบ และคาดว่าจะส่งมอบตัวรถได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2025 นี้
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก carnewschina.com